‘ช้อปดีมีคืน’ กระตุ้นใช้จ่ายส่งท้ายปี 63 ดันยอด‘ร้านอาหาร-ไอที’

18 ตุลาคม 2563

 

 

ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแรงของผู้บริโภคที่ได้รับแรงกดดันจากวิกฤติิการระบาดของโควิด-19 ยังคงสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกต่างเร่งปรับตัวและมีการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นการลดราคาสินค้า การสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของความสะอาดและความปลอดภัยต่อสุขภาพ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีนี้ ภาครัฐได้มีการทยอยออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อร้านค้าปลีกรายย่อยที่เน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ร้านธงฟ้า ร้านโชห่วย ร้านค้า ปลีกขนาดเล็ก รวมถึงมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่คาดว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ ค้าปลีกที่จดทะเบียนอยู่ในระบบ และออกใบกำกับภาษีได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ ขนาดกลางขึ้นไป ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายของธุรกิจค้าปลีกในภาพรวมได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” (จำกัดวงเงินคนละไม่เกิน 30,000 บาท) มีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้

• มากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม ที่มีรายได้สุทธิมากกว่า 500,000 บาทต่อปีขึ้นไป หรือมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 42,000 บาทขึ้นไป วางแผนที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีฐานรายได้สุทธิมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่วางแผนที่จะใช้สิทธิเต็มจำนวน (30,000 บาท) แต่คนที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี วางแผนที่จะใช้สิทธิเพียงร้อยละ 40 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด และส่วนใหญ่จะใช้จ่ายแค่บางส่วน/ไม่เต็มจำนวน เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 5,000-10,000 บาท เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังคงกังวลกำลังซื้อในอนาคต และโดยปกติก็เสียภาษีในอัตราที่ไม่สูงมาก จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเพิ่ม 

 

‘ช้อปดีมีคืน’  กระตุ้นใช้จ่ายส่งท้ายปี 63  ดันยอด‘ร้านอาหาร-ไอที’

 

 

• สินค้าและบริการยอดนิยม 3 อันดับแรก ใน 3 กลุ่มช่วงอายุไม่แตกต่างกันมากนัก คือ การรับประทานอาหารในร้านอาหาร อุปกรณ์ไอที (Smart phone, Smart watch, Computer, Gadget ต่างๆ)  และของใช้จำเป็นส่วนบุคคล เช่น แชมพู ครีมอาบนํ้า ยาสีฟัน ซึ่งโดยปกติผู้บริโภคมีการรับประทานอาหารและซื้อสินค้าในกลุ่มของใช้จำเป็นส่วนบุคคลอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ไม่มีมาตรการฯ มากนัก 

หรือบางคนอาจมีการเลื่อนแผนการใช้จ่ายให้ตรงกับช่วงที่มีการใช้สิทธิจากมาตรการฯ ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ไอทีน่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานมากขึ้นกว่าช่วงที่ไม่มีมาตรการฯ

 

 

 

 

• ผู้บริโภคใน 3 กลุ่มช่วงอายุวางแผนที่จะใช้จ่ายผ่านห้างสรรพสินค้า (รวมถึง ร้านค้าและร้านอาหารที่เช่าพื้นที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า) เป็นหลัก ซึ่งห้างสรรพสินค้าเป็นช่องทางหน้าร้าน หรือ Physical store ที่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวก อีกทั้งยังมีสินค้าและบริการที่ครบวงจร 

ขณะที่ E-market place เป็นช่องทางออนไลน์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce อยู่แล้ว อีกทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมกับร้านค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์มดังกล่าว มีการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการลดราคา ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ 

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แรงส่งจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” และ “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายส่งท้ายปี 2563 นี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อและการใช้จ่ายที่ออกมาก่อนหน้านี้ เช่น มาตรการคนละครึ่ง น่าจะช่วยหนุนภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกทั้งปี ให้หดตัวลดลงเป็นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับหากไม่มีมาตรการฯ ที่คาดว่าจะหดตัวราวร้อยละ 7.2  ซึ่งผู้ประกอบการค้าปลีกควรเตรียมพร้อมทั้งในเรื่องของสต็อกสินค้า การอำนวยความสะดวกในเรื่องของใบกำกับภาษี โดยเฉพาะการจัดการเกี่ยวกับใบกำกับภาษีที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น เช่น มีบริการจัดส่งใบกำกับภาษีตามไปให้ถึง ที่พักอาศัย หรือเป็นการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องต่อคิวรอนาน เป็นต้น

 

 

 

 

นอกจากนี้ ด้วยข้อจำกัดทางด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่ม รวมถึงผู้บริโภคที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่ยังไม่ได้มีการวางแผนการใช้จ่าย ผู้ประกอบการค้าปลีกก็อาจจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดควบคู่ไปกับมาตรการดังกล่าว เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น  

โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในกลุ่มสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อ เช่น ร้านอาหารต่างๆ อุปกรณ์ไอที ของใช้จำเป็นส่วนบุคคล เป็นต้น เพื่อนำมาใช้สิทธิในการลดภาษี โดยรูปแบบของการทำการตลาดก็ยังคงให้ความสำคัญกับการลดราคาสินค้า การชูความคุ้มค่าคุ้มราคา และการผ่อนชำระ 0% ที่นานขึ้น เพื่อจูงใจกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่อาจมีฐานรายได้ไม่สูงนัก

 

• โดย...ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

• หมายเหตุ : รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,619 หน้า 10 วันที่ 18 - 21 ตุลาคม 2563