ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ

10 ต.ค. 2563 | 04:43 น.

ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ : คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐกิจ หน้า 6 ฉบับ 3617 ระหว่างวันที่ 11 -14 ต.ค. 25639 โดย... กระบี่เดียวดาย

ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากโควิด-19 หรือ "ศบศ." เห็นชอบโครงการ “ช็อปดีมีคืน” หวังสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้เสียภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

เล็งเป้าหมายที่ผู้มีรายได้ระดับปานกลางและรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper middle income) ในการซื้อสินค้าและได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทต่อรายสำหรับในปีภาษีถัดไป โดยให้ซื้อสินค้าถึง 31 ธ.ค. 2563 ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 4 ล้านคน

 

โครงการอนุญาตให้กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการขายหนังสือและสินค้า OTOP แต่ไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน

 

มาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ณ มีนาคม 2564 และมีเงื่อนไขหากประชาชนได้ใช้สิทธิ์โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้

คาดการณ์กันว่าจะสูญเสียเม็ดเงินภาษี 1.1 หมื่นล้าน แต่มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.5 หมื่นล้านที่สภาพัฒน์ประเมิน แต่ สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯและรมว.พลังงาน บอกกระตุ้นเม็ดเงินสะพัดกว่าแสนล้านและให้เชื่อผม “ตำแหน่งผมใหญ่กว่า”

           

เมื่อรวมๆ มาตรการทั้งหมดจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ทั้ง "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการ มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบกระตุ้นเศรษฐกิจถึงสิ้นปีนี้ 2 แสนล้านบาท ไม่รวมมาตรการเที่ยวด้วยกัน โครงการกำลังใจ โดยรัฐบาลใช้เงินงบประมาณของรัฐ 6 หมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น จากโครงการบัตรสวัสดิการ 2.1 หมื่นล้านบาท มาตรการคนละครึ่ง 3 หมื่นล้านบาท และมาตรการช้อปดีมีคืนสูญเงินภาษี 1.1 หมื่นล้านบาท”      

 

อย่างไรก็ดีแม้สุพัฒนพงษ์จะยืนยันหนักแน่นถึงเม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบ แต่เมื่อเทียบกับผลกระทบและผลเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้าทั้งจากโควิด-19 ประกอบกับการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงวิกฤติแล้ว อาจเป็นเม็ดเงินที่เรียกว่าน้อยเกินไป

ยังคงเป็นมาตรการแบบ คนไข้ที่มีอาการต้องผ่าตัดใหญ่นอนพะงาบๆอยู่โรงพยาบาล แต่รัฐบาลกลับใช้แค่พาราเซตตามอล

 

แม้นายกฯจะโอดครวญยืนยันวันนี้จำเป็นต้องเดินหน้าทั้งในส่วนการใช้งบฟื้นฟู การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพราะถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในขณะนี้

 

“วันนี้ปัญหาของประชาชนที่มีมากที่สุด คือปัญหาหนี้สินของพวกเขา ทั้งหนี้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ซึ่งเกี่ยวข้องกับธนาคารทั้งสิ้น จำเป็นต้องขอความร่วมมือ เพราะไปก้าวล่วงกับทางธนาคารไม่ได้ แต่หากเราไม่ช่วยกันวันนี้ประเทศชาติก็คงต้องไปกันทั้งหมด ทุกคนต่างคาดหวังความช่วยเหลือจากรัฐบาล วันนี้จึงขอให้ท่านเริ่มจากการช่วยตัวเอง เสียสละกันบ้าง และรัฐบาลก็จะเข้ามาดูแลพวกท่านอีกครั้งหนึ่ง และถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นอยากจะให้เข้าใจวิธีการ หลักคิดของรัฐบาลด้วย"

 

พิจารณาจากเม็ดเงิน มาตรการ โดยเฉพาะช้อปดีมีคืนที่ให้มาแค่ 3 หมื่น ทั้งที่มีเม็ดเงินที่พอจะดึงจากกระเป๋าของผู้ที่มีรายได้ ให้กลับมาใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งจะสะพัดมากขึ้นในทางเศรษฐกิจ

 

มีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าในรอบปีที่ผ่านมาเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ มีการยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการในต่างประเทศสูงถึง 1.44 แสนล้านบาท

 

ขณะนี้คนเหล่านี้ไม่สามารถเดินทางต่างประเทศ ไฉนรัฐบาลไม่ใช้แรงจูงใจที่มากพอในการดึงเม็ดเงินส่วนนี้ให้ใช้จ่ายในประเทศแทน

 

เหมือนจะกล้าๆกลัว เก้ๆกังๆ ต้องผ่าตัดใหญ่แต่กลับใช้แค่ยาพาราฯ

 

ลองไล่กลับไปดู ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ถ้าต้องลงมือลงไม้ต้องกล้าๆหน่อย

 

จะฆ่าควายทั้งที มัวแต่เสียดายเกลือที่จะไปหมักควายไม่ได้กระมัง!!!