หมื่นห้าไม่ปัง ช้อปช่วยชาติกร่อย เอกชนรุมสวดได้เคลมภาษีน้อยไม่จูงใจ

07 ต.ค. 2563 | 03:50 น.

ค้าปลีกชี้ ฟื้นมาตรการช้อปช่วยชาติ 15,000 บาทน้อยเกินไป แถมห้ามซื้อสินค้าแบรนด์เนม เชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ขึ้น ด้านศบศ. หวังดึงกำลังซื้อคนเสียภาษี 3-4 ล้านคน “ทีเอ็มบี” แนะจับกลุ่มได้รับผลกระทบจากโควิดตํ่า

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายรอบใหม่ให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ “ศบศ.” พิจารณาในวันที่ 7 ตุลาคม 2563 นี้ โดยจะใช้มาตรการภาษีในการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกลุ่ม เป้าหมาย 3-4 ล้านคน ลักษณะเดียวกับมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท มาหักลดหย่อนภาษีได้ 750 บาท

 

ทั้งนี้จะมีการกำหนดสินค้าและบริการที่จะสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ อาทิ ร้านอาหาร ค่าที่พักโรงแรม ร้านสปา ร้านค้าชุมชน และสินค้าโอท็อปรวมไปถึงสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ด้วยยกเว้นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแบรนด์เนม สุรา และยาสูบเพื่อให้เม็ดเงินการใช้จ่ายลงสู่ระบบโดยเร็ว และมีผลต่อการจ้างงานของแรงงานภาคต่างๆ ให้มากที่สุด

 

“ชื่อมาตรการจะมีการเปลี่ยนไปจากเดิมให้ตรงกับการกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งแนวทางอาจจะเป็นทั้งรูปแบบช้อปช่วยชาติ หรือรูปแบบของการคืนเงิน Cash back ก็ได้ แล้วแต่ศบศ.จะตัดสินใจ แต่ถ้าเป็นรูปแบบช้อปช่วยชาติจะทำให้รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ และสามารถทำได้เลย เพราะมีแพทเทิร์นเดิมที่เคยมีเอามาปรับใช้ได้เลย”

หมื่นห้าไม่ปัง ช้อปช่วยชาติกร่อย  เอกชนรุมสวดได้เคลมภาษีน้อยไม่จูงใจ

อย่างไรก็ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดวงเงินที่สามารถนำค่าใช้จ่ายตามที่จ่ายจริงมาลดหย่อนภาษี แต่ไม่เกิน 15,000 บาทนั้น ถือเป็นวงเงินที่เหมาะสม เนื่องจากหากเพิ่มวงเงินลดหย่อนสูงกว่านี้ อาจะทำให้กระทบต่อเป้าการจัดเก็บของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2564 ได้ ซึ่งในปีหน้า รายได้ภาษีจะถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปีนี้อยู่แล้ว โดยในปีงบประมาณ 2564 กรมสรรพากรตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ไว้ที่ 2.085 ล้านล้านบาท

 

“หมื่นห้า” น้อยเกินไป

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญธุรกิจค้าปลีก ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวแสดงความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มาตรการช้อปช่วยชาติครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท มาหักลดหย่อนภาษีได้นั้นมองว่าน้อยเกินไป ควรกำหนดตัวเลขที่สูงกว่านั้นหรือไม่กำหนดเลยก็ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการจับจ่ายซื้อสินค้า และเกิดเงินสะพัดได้อย่างเต็มที่

 

“การกำหนดให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 15,000 บาท จากจำนวนผู้เสียภาษี 4 ล้านคน จะมีเงินสะพัด 60,000 ล้านบาท แต่หากประเมินว่าจะมีผู้เข้าร่วมเพียงกึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 2 ล้านคน จะมีเงินสะพัดราว 30,000 ล้านบาท แต่แท้จริงแล้วในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง มีจำนวนกว่า 6 ล้านคน หากเปิดกว้างให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 50,000 บาท หรือไม่จำกัดจำนวน และมีผู้เข้าร่วมเพียง 1.5 ล้านคน ก็จะมีเงินสะพัดอย่างตํ่า 75,000 ล้านบาท หากมีผู้เข้าร่วมยิ่งมาก ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 กลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

หมื่นห้าไม่ปัง ช้อปช่วยชาติกร่อย  เอกชนรุมสวดได้เคลมภาษีน้อยไม่จูงใจ

“แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้คือ ทำอย่างไรให้คนมีกำลังซื้อสูงๆ ซึ่งมีกว่า 6 ล้านคนออกมาใช้จ่ายให้มากๆ ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยดึงคนกลุ่มนี้ออกมาแต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องวงเงิน ซึ่ง 15,000 บาทต่อคนถือว่าน้อยเกินไป”

 

ขณะที่ข้อยกเว้น ห้ามซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยหรือแบรนด์เนมต่างๆ นั้น พบว่าในปี 2557 คนไทยที่นิยมท่องเที่ยวต่างชาติ และซื้อสินค้าแบรนด์นมกลับมาสูงถึง 5.1 หมื่นล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาทในปี 2561 ซึ่งในปีนี้พบว่า กลุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ และมีกำลังซื้อพร้อมใช้จ่าย หากรัฐบาลส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ เชื่อว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินสะพัดได้มากมาย

 

ดูดนักช็อปแตะ 100%

ด้านนายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชน ที่เป็นผู้นำศูนย์การค้าของไทย มาตรการช้อปช่วยชาติน่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มคนที่พอจะมีรายได้ปานกลางและสูง จับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น เพราะจะได้ส่วนลดในการซื้อสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยเซ็นทรัลทั้ง 33 สาขาทั่วประเทศจะมีแคมเปญที่เชื่อมโยงการใช้จ่ายทั้งในศูนย์การค้า และออนไลน์ ในทุกหมวดด้วย

 

“มาตรการต่างๆที่ออกมา เชื่อว่าจะช่วยสร้างสีสันการช็อปปิ้งในไตรมาส 4 กลับมาคึกคัก เพราะคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศยังไม่ได้ อีกทั้งยังตรงกับช่วงเวลาประดับไฟต้นคริสต์มาสและเฟสทีฟซีซั่นทั่วประเทศ น่าจะเพิ่มยอดสเปนดิ้งได้กว่าช่วงเวลาปกติ 20 % และคาดว่าจะทำให้ทราฟฟิกกลับมาแตะ 100 % ในทุกศูนย์การค้า”

 

จี้มาตรการฟื้นศก.

สอดคล้องกับศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ระบุว่า สัญญาณฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยเริ่มแผ่วลง ดังนั้นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยให้เน้นกลุ่มที่รายได้ได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างจำกัด ซึ่งมีอยู่กว่า 15 ล้านคน ที่จะมาช่วยฟื้นการบริโภคโดยรวมได้ ขณะที่ การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณแผ่วลง หลังจากที่มีทิศทางปรับดีขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์ แต่ล่าสุดในเดือนสิงหาคมการใช้จ่ายสินค้าหมวดไม่คงทนและหมวดบริการแผ่วลงจากกำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแอ มีเพียงการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนเท่านั้นที่ยังคงเพิ่มขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่แรงส่งของการฟื้นตัวจะอ่อนแรงลงไปอีก

หมื่นห้าไม่ปัง ช้อปช่วยชาติกร่อย  เอกชนรุมสวดได้เคลมภาษีน้อยไม่จูงใจ

ดังนั้นจึงแนะให้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเป็นแพคเกจ เน้นกลุ่มที่รายได้ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด เพื่อหนุนการบริโภคในภาพรวมเพราะจากข้อมูลผู้มีรายได้ในตลาดแรงงาน พบว่า มีกลุ่มที่รายได้ได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างจำกัดเป็นจำนวน 15.5 ล้านคน หรือ 40% ของจำนวนคนในตลาดแรงงาน (38.2 ล้านคน) ซึ่งโดยรวมยังมีอำนาจซื้ออยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบด้วยข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทและธุรกิจเอกชน (ไม่รวมกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง)

 

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,616 วันที่ 8 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชง‘ช้อปช่วยชาติ’ ดันเงินสะพัดแสนล้าน

กลุ่มค้าปลีกเสนอนายกฯ ดันโครงการ“ช้อปช่วยชาติ”

ดัน “ช้อปช่วยชาติ” ปลุกกำลังซื้อ