แบงก์กรุงศรี เตรียมแผน3ปี ดันเป้ารายได้ต่างประเทศรับเมกะเทรนด์

02 ต.ค. 2563 | 10:18 น.

แบงก์กรุงศรี ชูศักยภาพความแข็งแกร่งระหว่างMFUG กับBAY พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจขยายฐานธุรกิจต่างประเทศ

แบงก์กรุงศรีย้ำเป้าหมายเป็นสถาบันการเงินที่ทรงพลังในภูมิภาคอาเซียน-หลังทำรายได้เติบโต3-4%เตรียมจัดทำแผน3ปี2564-2566 เน้นปรับกลยุทธ์รับมือเมกะเทรนด์ระยะสั้น-ระยะกลางและระยะยาว  เผยรุกฝ่าวิกฤตโควิดครึ่งปีหลัง2563  โฟกัส  3 หลักการ “ การช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้  -รักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และควบคุมประสิทธิภาพค่าใช้จ่าย

แบงก์กรุงศรี เตรียมแผน3ปี  ดันเป้ารายได้ต่างประเทศรับเมกะเทรนด์

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ธนาคารกรุงศรีอยู่ในระหว่างการขออนุมัติแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ที่จะใช้เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564-2566  ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา (ปี2561-2563) โดยแนวทางดำเนินธุรกิจจะเชื่อมทั้งสองแผนไปต่อในปีหน้า โดยในส่วนของการขยายบริการในอาเซียนนั้นปัจจุบันมีสองรูปแบบ(สาขาและธุรกิจ )เช่น  สปป.ลาว  สาขาเวียงจันทน์ และบริษัทเช่าซื้อ สาขากัมพูชา ของ Hattha Kaksekar Ltd.  บริษัทไมโครไฟแนนซ์เครือกรุงศรีในกัมพูชาในการยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ Hattha Bank Plc. และสำนักผู้แทนที่ประเทศเมียนมา ส่วนเวียดนามและอินโดนีเซียจะมีพันธมิตรแบงก์ และฟิลิปปินส์จะเป็นลักษณะการร่วมทุน 50% ภายหลังจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ของบริษัท เอสบี ไฟแนนซ์ คอมปานี อิงค์ (SB Finance Company, Inc. หรือ SBF) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทไฟแนนซ์ในประเทศฟิลิปปินส์ที่มีการเติบโตสูงจากซีเคียวริตี้ แบงก์ คอร์ปอเรชั่น (Security Bank Corporation) หรือ SBC โดยธนาคารจะขยายไปเรื่องของธุรกิจรายย่อย หรือขยาย QR Payment 
“ ปัจจุบันธนาคารกรุงศรีอยุธยามีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ 3-4% ของรายได้รวม   ซึ่งอีก 3ปีข้างหน้า ภายใต้แผนปี2564-2566 จะสามารถบอกเป้ารายได้จากต่างประเทศด้วยกลยุทธ์อะไรบ้าง  และยังคงมุ่งมั่นตามเป้าหมายที่เป็นสถาบันการเงินที่ทรงพลังในภูมิภาคอาเซียน  ซึ่งเรามองความแข็งแกร่งของMFUG  กับความแข็งแรงของธนาคารกรุงศรีฯที่จะทำงานร่วมกัน โดยใช้ประโยชน์เครือข่ายระดับโลกของบริษัทในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ซึ่งมีสาขาในอาเซียน 8ประเทศ จำนวน 1,600สำนักงาน”       

นอกจากนี้จะใช้ประโยชน์ด้านข้อมูลที่กรุงศรีมีในฐานะผู้นำตลาดการเงินเพื่อรายย่อย (Consumer Finance) และผู้นำตลาดลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นในไทย (Japanese Corporate Market)ซึ่งมีฐานพอร์ต 4แสนล้านบาท และการใช้ประโยชน์ด้านผลิตภัณฑ์และเครือข่ายระดับโลกของ MUFG และการผสานศักยภาพและความแข็งแกร่งอันเป็นเอกลักษณ์ของกรุงศรีโดยคำนึงถึงแนวโน้มแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกหรือเมกะเทรนด์ (Megatrend) และสอดรับกับวิถีการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่หรือนิวนอร์มอล (New Normal) ทำให้กรุงศรีมีตำแหน่งทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่นทั้งในเวทีระดับประเทศและในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับปี 2563 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบันที่ครอบคลุมการดำเนินงานปี 2561-2563 นั้น กรุงศรีได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการเงินในยุคดิจิทัลด้วยการผลักดันแผนเชิงยุทธศาสตร์ 4 ด้านคือ การเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าผ่านกระบวนการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Customer Experience Enhancement) การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยศักยภาพด้านข้อมูล (Data-Driven Capabilities) กลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตร (Partnership Strategy) และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Overseas Business Expansion) ซึ่งกรุงศรีสามารถดำเนินตามแผนเชิงยุทธศาสตร์สู่เป้าหมายที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากความสำเร็จของการเปิดตัว ‘Kept’ นวัตกรรมบริหารเงินบนช่องทางออนไลน์ที่ได้รับการตอบรับอย่างสูงจากกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนา ‘Krungsri Biz Online Mobile App’ แอปพลิเคชันสำหรับธุรกิจ SME ที่ช่วยจัดการธุรกรรมการเงินให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น บริการกรุงศรี ออโต้ โบรกเกอร์ ที่เลือกสรรประกันภัยรถยนต์ให้กับลูกค้าด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลตามความต้องการ การพัฒนาระบบการอนุมัติสินเชื่อโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)  การลงทุนและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับ Grab และความสำเร็จของ Hattha Kaksekar Ltd. บริษัทไมโครไฟแนนซ์เครือกรุงศรีในกัมพูชาในการยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ Hattha Bank Plc. เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกและส่งผลต่อเนื่องถึงปัจจุบันต่อเศรษฐกิจมหภาคและภาคอุตสาหกรรมตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ กรุงศรีจึงได้ดำเนินการเชิงรุกฝ่าวิกฤตโดยปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่เน้นย้ำ 3 หลักการดำเนินงานคือ 
1. การช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าบุคคล ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้  2. การรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และ  3. การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับกลยุทธ์ให้สามารถรับมือกับความท้าทายอย่างทันท่วงทีท่ามกลางวิกฤตแห่งความไม่แน่นอนนี้ ส่งผลให้กรุงศรีสามารถลดผลกระทบด้านการดำเนินงานปฎิบัติการ และสามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างทั่วถึง” นายไพโรจน์กล่าวเพิ่มเติม