"หมอธีระ" เผยไทยจะกลายเป็นแดนดงโรคอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

29 ก.ย. 2563 | 19:00 น.

"หมอธีระ" หวั่น รัฐเปิดประเทศในสถานการณ์โควิดทั่วโลกที่ยังไม่คลี่คลาย จะทำให้ไทยกลายเป็นแดนดงโรคอย่างต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมแนะประชาชนต้องพึ่งตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือสงครามการเอาชีวิตรอด...ระหว่างไวรัสกับคน

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat "เกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 


วันที่ 29 กันยายน 2563 ลองมาวิเคราะห์ดูความเร็วของการระบาดของไวรัสโรค COVID-19 ตั้งแต่ 5 ล้านมาถึงปัจจุบันกัน... 


จาก 5 ล้านไป 10 ล้าน ใช้เวลา 38 วัน


จาก 10 ล้านไป 15 ล้าน ใช้เวลา 24 วัน


จาก 15 ล้านไป 20 ล้าน ใช้เวลา19.5 วัน


จาก 20 ล้านไป 25 ล้าน ใช้เวลา 19 วัน


จาก 25 ล้านไป 30 ล้าน ใช้เวลา 18 วัน


ที่น่าสนใจคือ จาก 30 ล้านไป 35 ล้าน คาดว่าจะใช้เวลา 14-15 วันครับ

 

ประเทศต่างๆ มากมายในแทบทุกทวีปยังประสบปัญหาการระบาดที่รุนแรง อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อนั้นสูงกว่าไทยหลายเท่าถึงเกือบยี่สิบเท่า


การเปิดประตูประเทศเพื่อรับให้กลุ่มเป้าหมายใดๆ เข้ามานั้นย่อมมีความเสี่ยงตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีระบบคัดกรองกักตัวอย่างไรก็ตาม  ยิ่งหากรับเข้ามามากเท่าใด โอกาสหลุดก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว


แต่หากเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ถือเป็นประตูบานสุดท้ายที่ไม่ควรเปิดท่ามกลางสถานการณ์ระบาดรุนแรงทั่วโลกเช่นนี้  เปรียบเหมือนการเปิดกล่องแพนโดร่า (Pandora box)


เท่าที่มีข้อมูล...ไม่มีประเทศใดที่จะปลอดจากการระบาดซ้ำได้เลย หากเปิดให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศยุโรปก็กำลังประสบปัญหาการระบาดซ้ำรุนแรงเพราะเหตุนี้เช่นกัน
 

ทางเดินที่กำลังจะไปนั้นมีหลายทางดังที่มีประเทศต่างๆ กรุยไว้ให้เห็นก่อนล่วงหน้า แต่มองแต่ละทางแล้ว บอกตรงๆ ว่าหนักทั้งนั้นครับ


ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า ที่หนักที่สุดคือการทำให้กลายเป็นแดนดงโรคอย่างต่อเนื่องในระยะยาว (Persistent endemic area) หากไม่สามารถควบคุมโรคระบาดซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา แม้ในอนาคตจะมีวัคซีนมาใช้ก็ตาม หากประสิทธิภาพไม่สูงและครอบคลุมไม่พอ ก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้


แม้มีวัคซีน แต่หากประสิทธิภาพไม่สูงและไม่ครอบคลุม ก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้


สถานการณ์ถัดจากนี้ ผมจึงมองเห็นสิ่งที่ประชาชนอย่างพวกเราทุกคนจะต้องทำอย่างจริงจัง 2 เรื่องเท่านั้น


หนึ่ง ใส่หน้ากากเสมอ...นี่เป็นหัวใจสำคัญ


สอง คอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายให้หยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจรักษา


สองเรื่องนี้หากทำได้ น่าจะบรรเทาความรุนแรงของการระบาดซ้ำได้


 

แต่หากไม่ช่วยกันทำอย่างเต็มที่ ระบาดซ้ำมักจะเกิดเร็ว แรง กระจาย คุมยาก ใช้เวลานานกว่าเดิม 1.5-3 เท่า และจำนวนติดเชื้อรายวันที่สูงสุดจะมากกว่าเดิมราว 1.3-2.6 เท่า ผลกระทบจะเกิดวงกว้าง จนเราอาจมีทรัพยากรไม่พอที่จะฟื้นฟูในยามที่จำเป็นต้องทำ


สำหรับผมแล้ว การตัดสินใจเชิงนโยบายนั้นสำคัญยิ่ง เพราะส่งผลต่อชีวิตคนในประเทศทั้งหมด


หากรัฐตัดสินใจรับความเสี่ยงดังที่วิเคราะห์มาแล้ว ถึงเวลาที่ประชาชนแต่ละคนต้องพึ่งตนเองอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือสงครามการเอาชีวิตรอด...ระหว่างไวรัสกับคนครับ รักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวเสมอ... ด้วยรักต่อทุกคน