ลั่นกลองศึก! “ทรัมป์-ไบเดน” ดีเบตยกแรก 29 ก.ย.นี้

24 ก.ย. 2563 | 02:06 น.

สหรัฐฯ เผยหัวข้อการโต้วาที หรือ "ดีเบต" รอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ที่กำลังจะมีขึ้นปลายเดือนก.ย.นี้ มี เศรษฐกิจ เชื้อชาติ และความรุนแรง ติดโผเข้ามาเป็นหัวข้อหลัก ๆ  ที่ทั้งคู่จะได้แสดงวิสัยทัศน์ประชันกัน  

 

นายคริส วอลเลส ผู้ดำเนิน การอภิปรายโต้วาที หรือการดีเบต ระหว่างผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในศึกการเลือกตั้ง 2020 รอบแรก ซึ่งกำหนดมีขึ้นในวันที่ 29 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ได้ประกาศหัวข้อการอภิปรายระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และ นายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ออกมาแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 ก.ย.)

การอภิปรายโต้วาทีและแสดงวิสัยทัศน์รอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้นในวันที่ 29 ก.ย.นี้แล้ว

คณะกรรมการจัดการอภิปรายโต้วาทีสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า นายวอลเลส ผู้สื่อข่าวมากประสบการณ์และผู้ดำเนินรายการฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์ เลือกหัวข้อการอภิปรายเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ได้แก่ ประวัติของผู้ท้าชิง ศาลสูงสุด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เศรษฐกิจ เชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงในเมืองต่าง ๆของสหรัฐฯ รวมถึงความสุจริตซื่อตรงของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ไบเดน” แฉเล่ห์ “ทรัมป์” ตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่

ศึกเลือกตั้งปธน.สหรัฐร้อนฉ่า “ไบเดน” ผงาดคู่แข่งทรัมป์อย่างเป็นทางการ

วิกฤติประท้วงทุบคะแนนนิยม “ทรัมป์” จ่อพ่ายเลือกตั้ง

ทรัมป์ VS ไบเดน สุนทรพจน์ของใคร ดึงดูดผู้ชมมากกว่ากัน

 

การอภิปรายรอบแรกระหว่างทรัมป์และไบเดน จากทั้งหมด 3 รอบ จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 29 ก.ย. ที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ และ คลีฟแลนด์ คลินิก ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอของสหรัฐ

คณะกรรมการจัดการระบุว่า การอภิปรายโต้วาทีครั้งนี้แบ่งออกเป็น 6 ช่วง ตาม 6 หัวข้อ ช่วงหนึ่งกินเวลา 15 นาที เพื่อผลักดันการหารือเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นหลัก ๆ ที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญ

 

ทั้งนี้ การอภิปรายอีก 2 ครั้งจะจัดขึ้นในเดือนต.ค. ซึ่งสหรัฐฯ จะจัดการอภิปรายโต้วาทีรอบผู้ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ระหว่างนายไมค์ เพนซ์ จากพรรครีพับลิกัน และนางคามาลา แฮร์ริส วุฒิสภาพรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัวแทนพรรคเดโมแครตด้วย

 

ที่มา สำนักข่าวซินหัว