นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

23 ก.ย. 2563 | 13:37 น.

กรีนพีช กางรายงาน ประเมินนโยบายพลังงานของไทย ไม่เอื้อให้เกิดการจ้างงานและการลงทุนใหม่ด้านพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด

รายงานการประเมินภาคพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Power Sector Scorecard report)ที่จัดทำโดยกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้ให้เห็นว่า นโยบายพลังงานของไทยยังคงล้มเหลวในการพัฒนาศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ในขณะที่การปรับนโยบายพลังงาน ทำให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนจากต่างประเทศ การจ้างงาน การผลิตและลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศจากวิกฤตโควิด-19 

นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

นางสาวจริยา เสนพงศ์ หัวหน้างานรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ยังคงมีมายาคติที่ว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนเสริมการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย มีทั้งการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียนไปพร้อมๆ กัน แต่เมื่อพิจารณาถึงแผนงบประมาณ จะพบความจริงว่าเม็ดเงินไปที่ไหน 

 

กลลวงนี้ต้องหยุดลง เริ่มต้นใหม่จากแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด โดยการกระตุ้นการลงทุนระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ดังที่เวียดนามแสดงให้เห็นว่าทำให้เกิดการจ้างงาน

การประเมินภาคพลังงานนี้ใช้ภาพฉายการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ-อากาศ (the International Panel on Climate Change’s (IPCC) 1.5 degrees pathway) มาเปรียบเทียบแผนการพลังงานหมุนเวียนตามสถานการณ์ที่ดำเนินไปตามปกติ กับแผนการพลังงานงานหมุนเวียนภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับไทย เวียดนามอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา และเมียนมา โดยใช้ตัวชี้วัดในเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การถอนการลงทุนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาตลาดพลังงานแสงอาทิตย์และลม นโยบายสนับสนุนต่างๆ และการจัดการราคาพลังงาน

นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

เวียดนามมีความคืบหน้ามากที่สุดในเรื่องการออกแบบและพัฒนาตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ และ พลังงานลมมาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Feed-in-Tariffs : FiT) ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 134 เมกะวัตต์ในปี 2561 เป็น 5,500 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2562 การลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในเวียดนามโดยมีบางโครงการสรุปจบได้ในปี 2562 ไม่มีต้นทุนด้านเชื้อเพลิงฟอสซิล 

ดังนั้น จึงไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่นที่ส่งกระทบกับหลายประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า พลังงานแสงอาทิตย์สามารถสร้างงานได้มากกว่าถ่านหินถึงสามเท่าตลอดห่วงโซ่ของการสร้างมูลค่า(Value chain)

นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

การวิเคราะห์ตลาดพลังงานของไทยพบว่า จริงๆ แล้วนโยบายพลังงานของประเทศเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใหม่ด้านพลังงานหมุนเวียน

 

ย้อนหลังไปในช่วงปี 2558 และ 2559 เมื่อนโยบายของภาครัฐ ปิดกั้นโครงการโซล่าร์ฟาร์มและฟาร์มกังหันลมผลิตไฟฟ้า ให้เชื่อมต่อกับระบบสายส่ง การเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างทันทีทันใด ได้ลดแรงจูงใจของนักพัฒนาโครงการและนักลงทุน ทำให้ตลาดพลังงานของไทยไม่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ 

นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

ในขณะที่ มีการสนับสนุนเชิงนโยบายพลังงานหมุนเวียนรวมถึงมาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การประมูลและโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน กลไกการกำหนดราคาและโควต้าก็ไม่สอดคล้องกันและไม่โปร่งใส

 

ระบบไฟฟ้าหลักที่ผลิตอย่างต่อเนื่อง(Baseload) คือหนึ่งในมายาคติที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการลงทุนด้านถ่านหินและก๊าซธรรมชาติอย่างเป็นระบบ แต่การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าหลักของไทยล้นเกินความจำเป็น เนื่องจากระบบพลังงานเริ่มกระจายศูนย์และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

นโยบายพลังงานไทยไม่เอื้อการจ้างงาน

ประเทศไทยมีเป้าหมายที่สูงในระยะยาว แต่ไม่มีขั้นตอนในระยะสั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องเพิ่มเป้าหมายพลังงานหมุนเวียน ให้มีสัดส่วน 50% ภายในปี 2573 เหมือนเวียดนาม ที่ได้ทำลายมายาคติที่มีมาอย่างยาวนานในเรื่องของการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ และการสร้างผลกําไรจากการปล่อยสินเชื่อแก่โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้ก็เป็นปี 2563 แล้ว เราไม่ควรมีข้ออ้างอีกต่อไปว่า ไม่มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือไม่มีนโยบายสนับสนุนอื่นๆ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์และลม