จี้รัฐเร่งเบิกจ่ายต่อลมหายใจธุรกิจ

17 ก.ย. 2563 | 10:15 น.

จับชีพจรกำลังซื้อในประเทศพบ สัญญาณบวกในสินค้าคงทน ยอดขายรถยนต์ ที่อยู่อาศัย การโอนเงินภาคประชาชนเพิ่มขึ้น ฟากอุตสาหกรรมยังอ่วม จี้รัฐเร่งเบิกจ่ายงบ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงาน การใช้ e-Payment เดือนกรกฎาคม 2563 พบว่า ปริมาณธุรกรรมการโอนและชำระเงินผ่าน Internet & Mobile banking และการใช้ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านช่องทาง online ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การทำธุรกรรมที่ผ่านจุดรับชำระเงิน เช่น เครื่อง EDC, ATM หรือ Counter มีแนวโน้มลดลง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนจากผลของโควิด-19 ขณะที่ภาพรวมปริมาณธุรกรรมการใช้ e-Payment เฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ 169 รายการ/คน/ปี สูงขึ้นจาก 135 รายการ/คน/ปี ในปี 2562

 

นายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้้ หากพิจารณาจากความรู้สึกจะแย่มาก แต่หากพิจารณาบนฐานข้อมูล จะเห็นภาพเศรษฐกิจที่มีทั้งด้านดีและด้านแย่ในบางเซ็กเตอร์ โดยตัวเลขยอดขายรถยนต์ใหม่ ซึ่งสะท้อนการบริโภคสินค้าคงทนในการบริโภคภาคเอกชน 

 

จี้รัฐเร่งเบิกจ่ายต่อลมหายใจธุรกิจ

ทั้งนี้จะเห็นว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ ในช่วงเดือนเมษายนลดเหลือ 3 หมื่นคันต่อเดือน เทียบจากช่วงก่อนเกิดการระบาดของ โควิด-19 ที่มียอดขายประมาณ 6-8 หมื่นคันต่อเดือน และเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมแตะประมาณ 6 หมื่นคันต่อเดือน ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในการหารายได้ของประชาชนบางส่วน และหากเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 จะเป็นคนละบรรยากาศกับปีนี้

 

ขณะเดียวกัน ยอดขายที่อยู่อาศัยและระดับราคา โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ยังสามารถรักษาระดับราคาได้ดี แต่ราคาคอนโดมิเนียม อาจจะกระทบมากกว่าในรายผู้ประกอบการที่มีสต๊อก นอกจากนั้นในส่วนของการออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านรวมถึงห้างสรรพสินค้า หากเทียบช่วงเดือนเมษายนตัวเลขหดหายไปกว่า 20% ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้าหายไป แต่เดือนสิงหาคม กิจกรรมดังกล่าวเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว

“ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงนี้ และอีกฐานข้อมูลที่สำคัญคือ การทำธุรกรรมภาคประชาชนผ่านโมบาย แบงก์กิ้ง ซึ่งปรับลดลงในเดือนเมษายน แต่เดือนมิถุนายนธุรกรรมฟื้นตัวมากกว่าเดิม โดยทะลุ 2.5 ล้านล้านบาทต่อเดือน สะท้อนสัญญาณดีขึ้นแต่ภาพรวมยอมรับว่า ยังเหนื่อย”

 

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินผ่าน Internet Banking และ Mobile Banking มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดสะสมเดือนกรกฎาคม ที่มีปริมาณธุรกรรมรวม 839.9 ล้านรายการ เพิ่มขึ้น 81.5% ส่วนมูลค่าธุรกรรมรวม 5.47 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวของปีก่อน โดยมีจำนวนบัญชีรวม 95.8 ล้านบัญชี

 

ขณะที่บริการรับโอนเงินรูปแบบใหม่ (พร้อมเพย์) มีความคืบหน้าพบว่า จำนวนลงทะเบียนสะสมอยู่ที่ 55.2 ล้านเลขหมาย มีปริมาณการโอนเงินเฉลี่ยต่อวัน 14.8 ล้านรายการ มูลค่าเฉลี่ยต่อวัน 5.89 หมื่นล้านบาท มูลค่าเฉลี่ยต่อรายการ 840 บาทต่อรายการ ภาพรวมเฉลี่ย 3,980 บาทต่อรายการ

จี้รัฐเร่งเบิกจ่ายต่อลมหายใจธุรกิจ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า แม้ภาคการบริโภค การผลิต เริ่มคลี่คลาย แต่ยังเป็นสัญญาณบวกแบบแผ่วๆ เพราะปัญหาการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ภาคส่งออกลดลง 77% ซึ่งมีภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกอยู่ประมาณ 50% ดังนั้นกำลังซื้อทั้งของโลกและในประเทศไทยลดลง 

 

“ภาคเอกชนอยากให้ภาครัฐใช้ระบบเบิกจ่ายงบประมาณแบบ New Normal เพื่อเร่งเบิกจ่าย เพิ่มเม็ดเงินสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการหลายอุตสาห กรรมในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โทรคมนาคม ระบบก่อสร้าง รวมถึงหลายอุตสาหกรรมที่เป็นคลัสเตอร์ ซึ่งรับงานภาครัฐแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน แม้ในสัญญาระบุชำระเงิน 30- 60 วัน แต่ทางปฎิบัติภาครัฐจะมีกระบวนการตรวจรับ เมื่อมีคอมเม้น ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข กว่าจะส่งเรื่องสู่ระบบเบิกจ่ายก็ต้องใช้เวลาเนินนานออกไปกว่า 120 วัน”

 

ด้านแหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า เท่าที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมลูกค้าต่างจังหวัดพบว่า ในวงการค้าเกิดปัญหาธุรกิจและปัญหาบุคคลกับบุคคลที่ปล่อยสินเชื่อแล้วไม่สามารถเรียกคืนเงินได้ตามกำหนด บ้างเกิดการเบี้ยวหนี้ ทำให้ระยะหลังผู้ประกอบการธุรกิจไม่กล้าปล่อยเครดิต

 

นอกจากนี้ในส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังประสบปัญหาการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)ค่อนข้างยาก ซึ่งเป็นภาษีซื้อและภาษีขายจากกรมสรรพากร ยิ่งตอกยํ้าข่าว รัฐจัดเก็บภาษีไม่เข้าเป้าและปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีความเป็นห่วงว่า การเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะมีปัญหา

 

นายสมนึก บุญใหญ่ ผู้จัดการใหญ่ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย (ชสอ.)กล่าวว่า ปัจจุบันสหกรณ์สมาชิกมีความต้องการกู้เงิน เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะเงินกู้ของชสอ.คิดดอกเบี้ย 3.25%ต่อปี ขณะที่แหล่งเงินกู้อื่นคิด 4%ต่อปี และสมาชิกต้องการนำเงินส่วนเหลือไปใช้จ่าย แต่ชสอ.ยังไม่สามารถอนุมัติเงินกู้แก่สหกรณ์สมาชิกได้ เพราะบางแห่งกู้เกือบเต็มเพดาน ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ เพื่อนำประเด็นดังกล่าวหารือ ร่วมหาแนวทางที่เหมาะสม 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งบปี64ช้า​ ไม่กระทบเงินเดือนข้าราชการ

สำนักงบ ส่งสัญญาณ หน่วยงานรัฐ เตรียมจัดซื้อจัดจ้าง รับ พ.ร.บ.งบ 64 ประกาศใช้

ครม.ไฟเขียว หลักเกณฑ์-เงื่อนไขการใช้งบปี 63 ไปพลางก่อน

วิษณุ รับงบปี 64 ล่าช้า ยันไม่กระทบเบี้ยยังชีพคนสูงอายุ-ผู้พิการ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,610 วันที่ 17 - 19 กันยายน พ.ศ. 2563