จากแรงงานในภาคบริการ ทั้งท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ค้าส่ง ค้าปลีก ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาค อื่นๆ ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ต้องตกงานชั่วคราว หรือถาวรในเวลานี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ยังไม่รู้จะไปสิ้นสุดเมื่อใดนั้น
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การแก้ปัญหาการเลิกจ้าง หรือว่างงานนั้น รัฐบาลควรจะมีการดำเนินการออกมาตรการในลักษณะที่เป็นแพ็กเกจ จะเป็นแผนรายวันหรือทำไปคิดไปไม่ได้ ที่สำคัญต้องเห็นภาพว่าสถานการณ์นี้คงจะไม่จบลงโดยง่าย ซึ่งการวางแผนจะต้องยาวไปถึงสิ้นปีเป็นอย่างน้อยในการทำมาตรการ
โดยจะต้องเยียวยาวกลุ่มที่ไปต่อไม่ไหว รวมถึงรักษาการจ้างงานให้กับกลุ่มธุรกิจที่หากมีสภาพคล่องเข้าไปช่วยยังสามารถฟื้นตัวได้ และกระตุ้นภาคประชาชนให้เกิดการใช้จ่ายที่ต้องดำเนินการไปพร้อมกัน
นอกจากนี้จะต้องแยกกลุ่มการช่วยเหลือออกให้ชัดเจน เช่น การมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน ก็จะต้องแยกออกเป็นรายกลุ่ม เพราะแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวได้ยาก สามารถแบ่งออกมาได้อีกว่าเป็นกลุ่มที่พึ่งพาในประเทศ และกลุ่มที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศ หากจะมีแค่ซอฟต์โลนสถาบันการเงินเองก็คงจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ เพราะห่วงเรื่องหนี้เสีย
“กลุ่มที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติให้สินเชื่อไปเวลานี้ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก แม้จะไปทำให้เกิดการจ้างงานแต่ก็ไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามา แต่กลุ่มที่พึ่งพาในประเทศ ซึ่งมีวันหยุดคนก็มีการเดินทางไปท่องเที่ยว หากอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ ก็อาจจะต้องมีการยืดเวลาในการชำระหนี้ให้ โดยแต่ละสถาบันการเงินเองก็จะรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มใดที่ยังพอไปต่อได้ หรือกลุ่มใดที่ยืดหนี้ต่อไปก็ไม่เกิดประสิทธิผล รัฐก็จะต้องไปหาแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าว เพราะสถาบันการเงินคงจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้อย่างแน่นอนโดยอาจจะทำออกมาในลักษณะของกองทุน
“ทุกอย่างจะต้องทำต่อเนื่อง ทำออกมาเป็นแพ็กเกจเพื่อให้รู้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ให้ชัดเจนไม่ใช่ทำเป็นแบบย่อยๆ ส่วนตัวเลขการว่างงานจนถึงสิ้นปีนั้น มองว่าเวลานี้สถานการณ์เริ่มฟื้นตัวกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น และเชื่อว่าตัวเลขที่ประมาณ 2-3 ล้านราย ณ เวลานี้ที่ภาคเอกชนมีข้อมูลน่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดแล้ว”
โดยปัจจัยหลักที่สำคัญเวลานี้น่าจะอยู่ที่การส่งออก ซึ่งเปราะบางมากในเวลานี้ และขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไม่เหมือนกับภาคอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนไปแล้ว และจะต้องพยายามรักษาสภาพธุรกิจเอาไว้ แม้จะมีมาตรการปิดเมือง หรือล็อกดาวน์ เพราะฉะนั้นตัวเลขก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านราย เนื่องจากการท่องเที่ยวคงยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ และจะทรงตัวอยู่ในระดับดังกล่าวนี้ไปจนถึงปี 2564