บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 มีผลขาดทุน 787.21 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 796.41 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวม 1,544 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,020 ล้านบาท นอกจากนี้ยังรับรู้ผลขาดทุนจากการยกเลิกกิจการนกสกู๊ต ขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.สั่งแขวน "SP" เช้านี้ หลังผู้สอบบัญชีไม่ให้ความเห็นงบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตลท.สั่งห้ามซื้อขายหุ้น THAI – NOK
‘นกแอร์’ วิบากกรรม ‘จุฬางกูร’ ถม 1.5 หมื่นล.ยังเอาไม่อยู่
“นกแอร์” ทวงหนี้ ส.ส.-อดีต ส.ส. ค้างค่าตั๋วเครื่องบินกว่า 3.5 ล้าน
ขณะที่สำหรับงวด 6 เดือนแรกปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุน 3,750 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 1,187 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวม 3,367.6 ล้านบาท ลดลง 47.96% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 6,470.76 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสัญญาเช่าตามมาตฐานบัญชี TFRS16 และบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตาม TFRS9 รวมถึงรับรู้ผลขาดทุนของนกสกู๊ต ส่วนค่าใช้จ่ายและต้นทุนรวม 5,425.03 ล้านบาท ลดลง 26.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 7,375.68 ล้านบาท
ส่วน ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวม 34,873 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 87.10% จากสิ้นปี 62 สาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายการหนี้สินตามสัญญาเช่าจากการนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้เป็นจานวนเงิน 15,007 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 5,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.84% จากสิ้นปี 62
อย่างไรก็ตาม ผู้สอบบัญชีไม่สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินได้ เนื่องจากบริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ จากผลกระทบโควิด-19 ที่มีผลต่อสายการบินทั่วโลก และบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งขึ้นอยู่กับการจะได้รับการอนุมัติแผน อาจเป็นเหตุเกิดข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญกับความสามารถของบริษัทที่จะดำเนินการต่อเนื่อง
ขณะที่ด้าน ตลท.ประกาศขึ้นเครื่องหมาย "SP" ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าวันนี้ (1 ก.ย.63) และจะขึ้นเครื่องหมาย "NP" ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 63 เหตุผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงินของบริษัทสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 63 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้