ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและเวียดนาม บริษัท อะเมซอนเว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟอร์ ซีอีโอรุ่นที่ 2” (Digital Transformation For CEO #2) ที่จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ และบริษัท เอ็ม เอฟ อีซี จำกัด(มหาชน) ในหัวข้อ “Business reimagination under changes” โดยมีแนวคิดดังนี้
"หยุดพัฒนา” ความน่ากลัวขององค์กรใหญ่
ดร.ชวพล กล่าวว่า เรื่องของ ดิจิทัล ดิสรัปชัน นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภครวดเร็วยิ่งขึ้น ปัจจุบันไม่มีองค์กรไหนที่ไม่พูดถึงเรื่อง ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นการบังคับให้ทุกคนอยู่กับดิจิทัลอย่างแท้จริง ส่งผลให้ความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปหลังจากผ่านพ้นสถานการณ์นี้ สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้องค์กรขนาดใหญ่ล้มหายตายจากไป คือ การหยุดพัฒนา เนื่องจากมองว่าองค์กรอยู่ในระดับบนและไม่มีใครสามารถแข่งได้ จึงหยุดการพัฒนา ขณะที่ Disruptor หรือธุรกิจใหม่เหล่านี้ก็ได้เข้ามาเปลี่ยนความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้บริโภค
จินตนาการใหม่รับพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน
เนื่องจากบริษัทสตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นใหม่จะมองหาสิ่งเล็กๆ หรือช่องว่างที่เป็นความต้องการของลูกค้า ด้วยการสร้างเทคโนโลยีที่สามารถลดต้นทุนและตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรใหญ่ไม่ทำ เพราะองค์กรใหญ่จะมีทฤษฎีในการจำแนกลูกค้าแต่ละกลุ่มพื่อผลิตสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการ ขณะที่ธุรกิจเล็กจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในแต่ละบุคคล ทั้งนี้ในอนาคตการสร้างประสบการณ์หรือดีมานด์นั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขายสินค้าและบริการ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ดังนั้นสิ่งที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงคือ Reimagination หรือ “การจินตนาการใหม่”
“บริษัทหรืององค์กรขนาดใหญ่ต้องหันกลับมามองว่า “ดิสรัปเตอร์” ในปัจจุบันนั้นทำอย่างไร ทั้งที่มีเงินทุนน้อยกว่า บริษัทเล็กกว่า วันนี้การที่เราถูกดิสรัปต์นั้นเป็นเพราะตัวเราเองหรือเพราะคนอื่น ถึงเวลาที่เราจะต้อง Reimagination ธุรกิจของตัวเองแล้วหรือยัง”
คิดระยะยาวพร้อมดิสรัปต์ตัวเอง
อย่างไรก็ตามจุดเริ่มต้นในการ Reimagination คือ ต้องมองถึงผลกระทบต่อธุรกิจที่ต้องการ และมองถึงความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ความเป็นไปได้ของสมมติฐานจากการทำธุรกิจในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมายังใช้ได้อยู่หรือไม่ พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการมองหาความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นมาแทนที่ การสร้าง Value Chain หรือ ห่วงโซ่คุณค่า ด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ำ หรือมองความสามารถในการดิสรัปต์ตัวเอง ปัจจัยที่ผู้บริหารต้องโฟกัส คือ การเปลี่ยนแปลงของลูกค้าที่ทำให้ทุกองค์กรต้องจินตนาการใหม่ ในการทำธุรกิจ เพราะลูกค้าไม่ต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบเดิมเหมือนที่ผ่านมา องค์กรที่จะอยู่รอดได้ต้องคาดการณ์อนาคตของธุรกิจ เพราะนวัตกรรนั้นเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการ innovate เป็นหน้าที่ของทุกคนในองค์กรโดยผู้บริหารมีหน้าที่สร้างโอกาส สร้างแพลตฟอร์ม และวัฒนธรรมองค์กร โดยต้องคิดในระยะยาว ไม่มองแค่เพียงในระยะสั้น