นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา ทิศทางและแนวโน้มตลาดเมียนมาจากเหตุการณ์ COVID-19 ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ต้องเผชิญปัญหา/การระบาดของโรคโควิด-19 เมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีภูมิประเทศ และลักษณะประชากรคล้ายกับไทย ดังนั้นตลาดการค้า การลงทุนจึงเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่ควรศึกษาและมองหาโอกาสทางธุรกิจ
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของโลกในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไร้การสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ด้าน ได้แก่ การค้าออนไลน์ การแพทย์ออนไลน์ และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มรูปแบบธุรกิจในอนาคต คือ การลดการติดต่อสัมผัสระหว่างผู้คนให้น้อยที่สุด โดยแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ในเรื่องความสะอาด สุขอนามัยของสินค้าสำคัญมาก ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะใช้ระบบเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อลดการติดต่อสัมผัสทางกายภาพ อาทิ การขาย ไลฟ์-สตรีมมิ่ง การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ไม่ใช้การรูดบัตร ไม่ต้องมีการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน ฯลฯ ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน สำหรับในบริบทประเทศไทย จุดแข็งของเศรษฐกิจไทยเพื่อก้าวต่อไปในยุคนิวนอร์มัล ได้แก่ เป็นศูนย์กลางด้านการบริการสุขภาพ และการให้บริการด้านสุขภาพอย่างรอบด้านและครบวงจรด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content) และการขายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) ผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอาหาร และเกษตรแปรรูปจากชุมชน มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมการให้บริการรูปแบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล การค้าออนไลน์ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวท้องถิ่น เน้นสนุก สะอาด ได้ประสบการณ์วัฒนธรรมชุมชน เป็นต้น
โดยเมียนมาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 18ของไทยในโลก เป็นคู่ค้า อันดับ 7ของไทยในกลุ่มอาเซียน และทั้งสองประเทศตั้งเป้าหมาย มูลค่าการค้า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2565 ศูนย์ข้อมูล ทางเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าในปี 2563 เมียนมาจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) 6.7%และรัฐบาลเมียนมาอนุญาตให้บริษัทของธุรกิจต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง ได้ถึง 100%
ด้านนายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา กล่าวว่า จากการระบาดของไวรัส-19 ทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั่วโลกชะลอตัวอย่างไรก็ตามนักธุรกิจก็ต้องเตรียมพร้อมในการดำเนินธุรกิจแม้จะยังมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งล่าสุดในเมียนมาก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 100 ราย/วัน ซึ่งมั่นใจว่าทางการของเมียนมาจะสามารถควบคุมไม่ให้มีการระบาดในวงกว้างได้ ซึ่งจากการระบาดของโรคดังกล่าวทำให้มองเห็นว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัย เครื่องมือแพทย์ ยารักษาโรค เพิ่มมากขึ้นเพราะประชาชนต้องการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม ก็มีความต้องการมากขึ้น แต่นักลงทุนไทยยังไม่เข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวมากนัก สภาฯจึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสนี้ในการเข้าไปลงทุนมากขึ้น นอกเหนือจากที่ปัจจุบันจะส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาเปิดกว้างให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เช่น เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 รัฐสภาเมียนมาได้อนุมัติการออกกฎหมายเขตอุตสาหกรรม (Industrial Zone Law) ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะทางด้านการกำกับดูแลเขตอุตสาหกรรมฉบับแรกของเมียนมา ทั้งนี้ในปัจจุบันเมียนมามีเขตอุตสาหกรรมกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ