‘ไทยเที่ยวไทย’  กู้ "อสังหาฯ" ลงทุนพัทยา

17 ส.ค. 2563 | 04:35 น.

"ปลดล็อก " เปิดประเทศ รับ "นักท่องเที่ยวต่างชาติ "เข้าไทย พัทยา อ่วม หลีกความเสี่ยงการกลับมาระบาดใหม่ของ"ไวรัสโควิด-19" กระทบหนักใน"กลุ่มโรงแรม" ลุกลามไปถึงกลุ่ม "อสังหาริมทรัพย์" ในเมืองท่องเที่ยว

 

 

ผ่ามุมคิด

ความน่าจะเป็นในการทยอยปลดล็อก เปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ที่อาจดึงช่วงลากยาว หลีกความเสี่ยงการกลับมาระบาดใหม่ของไวรัสโควิด-19 กลายเป็นกำแพงผืนใหญ่ ขวางการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว กระทบหนักในกลุ่มโรงแรม ลุกลามไปถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยว ที่เคยได้แรงหนุนสำคัญจากลูกค้านักลงทุนต่างชาติซื้อ 50:50 ในแต่ละโครงการนั้น ก็อยู่ในภาวะซึมหนักไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาฯกลุ่มพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทย ระบุ ภาพดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นกับเมืองชายหาดท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ที่ผูกติดกับทั้งกำลังซื้อ (ดีมานด์) คนไทย และคนต่างชาติ อย่าง “พัทยา” สะท้อนจากยอดขายที่เติบโตขึ้นมาตลอดภาวะวิกฤติไตรมาส 2 ทะลุ 500 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่พุ่งกว่า 2 เท่าตัว ทั้งนี้ คาดมาจากเทรนด์การซื้อบ้านหลังที่ 2 ของกลุ่มคนไทย และกลุ่มซื้อเพื่อลงทุน หวังรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศมาแรงฉุดไม่อยู่ หลังยอดเข้าพักพลูวิลล่า โครงการดัง เต็ม 100% ทุกวันหยุด ขณะเดียวกัน รับตลาดคอนโดฯกลางเมือง กรุงเทพมหานครฝืดหนัก เร่งวางแผนธุรกิจ ปักธงใหม่รับความต้องการ 3 กลุ่มโดดเด่น 

 

ฟอร์มเติบโตไม่ตก

บริษัท เป็นหนึ่งในผู้เล่นของตลาดโปรดักต์เพื่อลงทุน การันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า รูปแบบ ไลฟ์สไตล์อินเวสเม้นท์ แรกมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ 1.เน้นแบรนด์ 2.โลเคชั่น และ 3.เจาะนักลงทุน บวกกับโปรโมชั่น ยอมถอยราคาลงมาบ้าง ในจังหวะที่ตลาดลงทุนอื่นๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ผันผวน จึงทำให้อสังหาฯเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า อีกทั้งฐานลูกค้าซึ่ง 50% ซื้อสด ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ในรอบแรกทำได้ถึง 90% มีเพียง 10%ที่นำกลับมาวนขายใหม่ แต่หมดตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก รวมครึ่งปีแรกมีรายได้ 1.2 พันล้านบาท ขณะการขายนั้น จากเดิมเฉลี่ยมีตัวเลขประมาณ 100 ล้านบาท แต่พบช่วงไตรมาส 2 รวม 3 เดือน สามารถทำยอดได้ถึง 515 ล้านบาทจากหลายโครงการ จึงประเมินว่า ทั้งปี 2563 บริษัทจะมียอดโอนฯรวมกว่า 2.5 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 220%

“มองแทนลูกค้า ว่าเป็นไทม์มิ่งที่ดีที่สุดในการซื้อ จากราคาที่ไม่เหมือนเดิม แต่มูลค่าในอนาคตเติบโตแน่ และเป็นที่น่าสังเกต ในภาวะแบบนี้ ยังมีกลุ่มคนมีเงินถือขวานด้ามใหญ่รอฟัน ซื้อยกล็อตเพื่อลงทุนไม่น้อย”

 

พัทยาดาวรุ่งไทยเที่ยวไทย

ผลสำเร็จดังกล่าวสะท้อนว่า อานิสงส์จากโควิด ได้ส่งต่อให้แนวโน้มความต้องการซื้อบ้านหลังสอง ทั้งสำหรับพักอาศัยและลงทุนในตลาดท่องเที่ยวนั้นมีดีมานด์เพิ่มขึ้นชัดเจน โดย “พัทยา” เป็นตัวเล่นที่โดดเด่น จากจุดหมายปลายทางใกล้กทม.สุด มีความ
คืบหน้าของโครงการอีอีซี ผ่านระบบคมนาคมใหม่ๆ เป็นแรงหนุนสำคัญ โดยเฉพาะเส้นทางมอเตอร์เวย์ (ช่วงต่อขยายมาบตาพุด) ใกล้จะแล้วเสร็จ เปรียบเป็นตัวเปิดตลาดท่องเที่ยวให้พัทยา และการลงทุน อสังหาฯ-ที่ดินติดทะเล โซน “นาจอมเทียน” พบตลอดทุกช่วงวันหยุด โรงแรมขนาดเล็ก ไม่เกิน 150 ห้อง และกลุ่มวิลล่าเน้นความเป็นส่วนตัว ได้รับความนิยมสูงจากลูกค้าคนไทย ทั้งกลุ่มคู่รัก กลุ่มเพื่อน และครอบครัว แม้ราคาต่อคืนแตะ 1 หมื่นบาท ก็ตาม สะท้อนจากยอดเข้าพัก โครงการดังของบริษัท “ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์” เดิมวันธรรมดาก่อนโควิดอยู่ในอัตรา 60% ขณะช่วง พ.ค-มิ. ย กระโดดเป็น 80% และเข้าพักเต็ม 100% ในวันหยุด

ชนินทร์ วานิชวงศ์

“เชนจ์โรงแรมต่างชาติที่เข้ามาในไทย ค่อนข้างวิตก กับโรงแรมขนาดใหญ่ที่พึ่งพาทัวร์  และนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่พัทยาต่างออกไป เพราะโฟกัสคนไทย บินข้ามประเทศไม่ได้ ก็มาเที่ยว เหตุไม่ใกล้จาก กทม. ยิ่งโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความเป็นส่วนตัว ยิ่งคึกคัก”

 

คอนโดฯกทม.ซึม 2-3 ปี

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะภาพรวมของตลาดอสังหาฯ นั้น ตนเองเป็นห่วง กลุ่มคอนโดฯเพื่อขาย พื้นที่กทม.มากสุด คาดซึมยาว 2-3 ปี กลายเป็นตลาด “เรดโอเชี่ยน” ที่ไม่น่าแข่งขัน ผู้บริโภคจำนวนมาก มีแนวโน้มความต้องการในกลุ่มแนวราบ สะท้อนจากยอดขายรวมเติบโตอย่างคึกคักในช่วงวิกฤติ โดยเฉพาะโปรดักต์ทดแทน ราคาใกล้เคียง อย่างกลุ่มทาวน์เฮาส์ ซึ่งให้ขนาดพื้นที่ และความเป็นส่วนตัวมากกว่า ขณะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเดิมเป็นการเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนของชาวจีน, ฮ่องกงนั้น เป็นต้องเลิกหวัง เพราะนอกจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าว จะมีแค่ดีมานด์ผ่านยอด Booking ให้ดีใจเล่น แต่การเข้าประเทศ เพื่อมาดูโปรดักส์ ทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้แล้ว พบขณะนี้เอง อสังหาฯในประเทศจีน ก็พากันแห่ดัมพ์ราคาแข่งขัน ซึ่งลูกค้าย่อมลงทุนเลือกซื้อในประเทศตนเองก่อนเป็นอันดับแรก 

 

 

วิกฤติเปลี่ยนธงรบ 

ทั้งนี้ มองวิกฤติครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เชื่อว่ายังคงต้องอยู่กับสภาวะผันผวนไปอีกต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้ จึงเริ่มเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะด้านแผนธุรกิจ ที่ต้องยืดหยุ่น โดยจากเดิมเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยพรีเมียมในรูปแบบลงทุนทั้งในพื้นที่ใจกลาง กทม.และพัทยา เช่น เบสท์ เวสเทิร์น คลอเลคชั่น บลูเฟียร์ พัทยา, วาลเด้น อโศก, วาลเด้น ทองหล่อ 13 อนาคตกำลังศึกษาและขยายการพัฒนาไปยังที่อยู่อาศัยกลุ่มใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาในปี 2564 แล้ว ทั้ง 2 ทำเลหลัก หลายแปลงในพัทยา เป็นที่ดินขนาดใหญ่ 5-10 ไร่ อาจเกิดขึ้นในรูปแบบมิกซ์โปรดักต์ ส่วนกทม. ยังศึกษาดีมานด์ อาจไปโฟกัสในกลุ่มแนวราบแทน เพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆ 3 กลุ่มโดดเด่น 1.โครงการเพื่ออยู่อาศัยจริง (กลุ่มบ้านหลังแรก) 2. บ้านหรู-พลูวิลล่า กทม. และ 3. โปรดักต์หลักโครงการเพื่อลงทุน

 

“ใช้วิกฤติครั้งนี้ เป็นจังหวะ วางแผน ปรับกลยุทธ์ใหม่ นอกจากดันโปรดักต์เดิมออกไป ก็ยังมองหาโอกาสของโปรดักต์ใหม่ๆ ด้วย เพราะท่ามกลางตลาดเปลี่ยน คงเน้นแค่ อโศก-ทองหล่อ ไม่ได้ ซึ่งการซื้อคอนโดฯ 20-30 ล้าน ในเมือง อาจไม่โดนเท่าแนวราบในราคาเดียวกันอีกด้วย” 

 

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศราฐกิจ ปีที่ 40  ฉบับที่ 3,601 วันที่ 16 - 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563