อ่วมโควิดไตรมาส2 “ MINT” ขาดทุน 8.4 พันล. มั่นใจ "ไมเนอร์" พ้นจุดต่ำสุดแล้ว

13 ส.ค. 2563 | 11:10 น.

MINT แจงผลประกอบการไตรมาส 2 ขาดทุน 8.4 พันล้านบาท ยันแม้จะขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่อง มั่นใจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

        บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”)  ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2563 โดยถึงแม้ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2563 จะลดลงเป็นผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากการระบาดของโรค COVID-19 แต่ MINT เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นที่จะนำธุรกิจกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 โดยเร็วที่สุด

อ่วมโควิดไตรมาส2 “ MINT” ขาดทุน 8.4 พันล. มั่นใจ "ไมเนอร์" พ้นจุดต่ำสุดแล้ว

         การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ได้มีการออกมาตรการการปิดประเทศอย่างเข้มงวด โดย MINT มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 8.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 เทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2562 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานบนพื้นฐานการรายงานเดียวกันกับปีที่แล้ว บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 6.9 พันล้านบาท
           ในไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เป็นบวกจำนวน 2.1 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2562 โดยการลดลงดังกล่าวเป็นผลโดยตรงมาจากการดำเนินธุรกิจอย่างจำกัดของทั้งสามธุรกิจของ MINT (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเมษายนและพฤษภาคม) เนื่องจากต้องปิดโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ทั่วโลกเป็นการชั่วคราว ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหารลดลงร้อยละ 99 และปรับตัวดีขึ้นเป็นลดลงร้อยละ 89 ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากโรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเพื่อที่จะปรับตัวกับการปิดให้บริการธุรกิจเหล่านี้
          MINT ได้ดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วและเข็มงวด ซึ่ง MINT สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าร้อยละ 50 ในไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2562 ส่งผลให้ MINT มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในแต่ละเดือน จากผลขาดทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งนับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 2.8 พันล้านบาทในเดือนเมษายน เป็น 2.4 พันล้านบาทในเดือนพฤษภาคม และ 2.0 พันล้านบาทในเดือนมิถุนายน
       สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 9.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 2.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 ปี 2563  MINT มุ่งมั่นที่จะเร่งการกลับมาเปิดให้บริการธุรกิจในเครืออีกครั้งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้นและประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศลง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
“วิลเลียม ไฮเน็ค” สะท้อน 6 มุมมอง “ไมเนอร์” ฝ่าทุกวิกฤต
“เราเที่ยวด้วยกัน” ไมเนอร์ จัดเพิ่มสิทธิประโยชน์ล่อใจ
'ไมเนอร์ ' จ่อระดมทุนเพิ่ม 2.5หมื่นล.รับมือโควิด

         แผนกลยุทธ์ของ MINT และการดำเนินการบริหารจัดการสภาพคล่องและฐานะทางการเงินในเวลาที่เหมาะสม เป็นบทพิสูจน์ของแผนการที่มีประสิทธิภาพของ MINT ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ในไตรมาส 2 ปี 2563 MINT ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่อง ด้วยการดำเนินมาตรการการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม MINT มีเงินสดในมือประมาณ 36 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 26 พันล้านบาท ซึ่งรวมกันแล้วจะเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
           นอกจากนี้ ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2 ปี 2563 ช่วยให้ฐานส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT แข็งแกร่งขึ้นถึงแม้ว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสดังกล่าว ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 1.61 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 เป็น 1.64 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2563
           อีกทั้ง เมื่อช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2563 MINT ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกจำนวน 5 พันล้านบาทในช่วงสามปีข้างหน้า ดังนั้น MINT จึงคาดว่าแผนการระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จดังกล่าวจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากสภาวะตลาดที่ท้าทายต่อไปในอนาคต

อ่วมโควิดไตรมาส2 “ MINT” ขาดทุน 8.4 พันล. มั่นใจ "ไมเนอร์" พ้นจุดต่ำสุดแล้ว

           ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อหลายประเทศเริ่มเปิดพรมแดน ด้วยมาตรการการปิดประเทศที่ผ่อนคลายลง และเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ MINT จึงได้กลับมาดำเนินธุรกิจทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ 70 ของโรงแรมทั้งหมดทั่วโลก และมากกว่าร้อยละ 90 ของร้านอาหารทั้งหมดได้กลับมาเปิดให้บริการ และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละสัปดาห์
           ทั้งนี้ MINT มีเป้าหมายที่จะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมและร้านอาหารทั้งหมดภายในไตรมาส 4 ปี 2563 และจะผลักดันยอดขายเชิงรุก ในขณะที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เฉพาะหน้าของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ คือการมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวภายในประเทศที่แข็งแกร่งในช่วงที่มีการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ตามด้วยการเพิ่มจำนวนแขกเข้าพักจากนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศ และขยายตัวไปยังนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้น
 

         ในขณะที่ ไมเนอร์ ฟู้ด จะยังคงใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารเพื่อผลักดันยอดขาย โดยต่อยอดจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของยอดขายผ่านทางแพลตฟอร์มดังกล่าวในช่วงการปิดประเทศจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในขณะที่ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารภายในร้านอาหารของลูกค้าและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปิดตัว “Cloud Kitchens” ในช่วงไตรมาสดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของไมเนอร์ ฟู้ดในการขยายพื้นที่การให้บริการของแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท

          นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ไตรมาส 2 เป็นไตรมาสที่ท้าทายที่สุด ไม่เพียงแต่สำหรับ MINT เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในภาคการบริการและการท่องเที่ยวทั่วโลก เรามีความผิดหวังกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ แต่บริษัทได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของเรา โดยบริษัทมีการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในช่วงเวลาอันท้าทายนี้

อ่วมโควิดไตรมาส2 “ MINT” ขาดทุน 8.4 พันล. มั่นใจ "ไมเนอร์" พ้นจุดต่ำสุดแล้ว
          ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินและรักษากระแสเงินสด โดยบริษัทเชื่อว่าเราได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว และเมื่อสถาการณ์ของโลกดีขึ้น MINT มีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาสร้างการเติบโตของธุรกิจ และกลับมาสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้กับผู้ถือหุ้นอีกครั้ง อีกทั้ง บริษัทขอขอบคุณผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและพนักงานทุกคนที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่มาโดยตลอดในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้”