TU พลิกวิกฤตโควิดกำไรสุทธิ Q2/63 โต 1,440% 

11 ส.ค. 2563 | 08:05 น.

TU  พลิกวิกฤติโควิด กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 โต 1,440% ทะลุ 1,716 ลบ. ประกาศปันผล 0.32 บาท/หุ้น จ่ายวันที่ 8 ก.ย. นี้

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,440% จากปีก่อนหน้า มียอดขายอยู่ที่ 33,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6 % ขณะที่หกเดือนแรกของปี 63 มีการเติบโตของรายได้ 4.2% สูงที่สุดในรอบ 3 ปีอยู่ที่ 64,154 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิครึ่งแรกอยู่ที่ 2,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากปีก่อนหน้า บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.32 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นถึง 28%จากเงินปันผลระหว่างกาลปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น 

 

TU พลิกวิกฤตโควิดกำไรสุทธิ Q2/63  โต 1,440% 

 

บริษัทยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรและประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้ผลกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 2,366 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A) อยู่ที่ 11.1% มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า และมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) อยู่ที่ 18.2 % นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีอีกเช่นกัน ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน การบริหารสินค้าคงคลังและการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพยังทำให้ไตรมาสที่ 2 นี้มีกระแสเงินสดอิสระถึง 5,609 ล้านบาท  

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ตลาดทั่วโลกมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อยอดขายของบริษัท  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง เพื่อสร้างความมั่นใจและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือมาตรการสุขภาพความปลอดภัยทั้งของพนักงานและในการผลิต เพื่อให้ธุรกิจของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

 

ยอดขายในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 16.8% อยู่ที่ 16,394 ล้านบาท  และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 29.6% อยู่ที่ 101,136 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกยังคงจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงสถานการณ์โควิด-19  ในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายลดลง 14%  อยู่ที่ 11,554 ล้านบาท และปริมาณการขายลดลง 10.5% อยู่ที่ 61,284 ตัน เนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในธุรกิจโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง

 

ในส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 7.5%  อยู่ที่ 5,103 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นและกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง 

“วันนี้ ภาคธุรกิจต้องปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงระยะยาว  สำหรับไทยยูเนี่ยน บริษัทเล็งเห็นถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการที่เน้นย้ำความปลอดภัยในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี” นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติม

ไทยยูเนี่ยนมียอดขายกระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยในหกเดือนแรกของปี 2563 นี้ ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 42% ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30% ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 10% และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 18%

 

อนึ่งบริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2563 ตามมติการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ณ วันที่11 สิงหาคม 2563 มูลค่า 0.32 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันจดบันทึกทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 26  สิงหาคม 2563และกำหนดจ่ายเงินวันที่8 กันยายน 2563 ..... อ่านเพิ่ม