วิษณุรับ“แก้ รธน.”รัฐบาลมีธงในใจแล้ว

06 ส.ค. 2563 | 06:12 น.

วิษณุ ยอมรับ “แก้รธน.” รัฐบาลมีธงในใจแล้ว แย้ม2 มีแบบ ยอมรับใช้งบเยอะ แต่ก็ต้องทำหากจำเป็น

 นายวิษณุ เครืองาม

 

วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบให้"แก้รัฐธรรมนูญ "มาตรา 256 ในส่วนนี้จะต้องทำประชามติด้วยหรือไม่ ว่า ใช่ เมื่อมีการทำประชามติ ก็ต้องใช้งบประมาณรวมแล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท เกือบเท่ากับงบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งทั่วไป "ที่พูดนี้ไม่ได้บ่นนะ แต่เมื่อสื่อถามผมก็ตอบ ไม่ได้มาบ่น หรือบอกว่าเสียดาย ไม่ได้พูดอย่างนั้น"

 

นายวิษณุ กล่าวว่า ขั้นตอนนั้น ตนเคยอธิบายไปแล้วว่า การแก้รัฐธรรมนูญแก้ได้ 2 อย่างคือ 1.แก้เป็นรายมาตราหรือรายเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวกับหมวด 1 หมวด 2 และหมวด 15 และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขคุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ ที่กระจายอยู่หลายหมวด หากจะแก้บทเฉพาะกาลที่แก้ไม่ให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี จะเป็นการแก้เป็นเรื่องๆ ซึ่งจะรวมไปถึงการแก้ไขวิธีการเลือกตั้งด้วย เช่นจะใช้บัตรเลือกตั้ง 1 ใบ หรือ 2 ใบ นี่คือประเภทที่หนึ่ง ซึ่งกระบวนการแก้ไขจะเดินตามมาตรา 256 ตามปกติคือนำเข้ารัฐสภา ผ่านวาระ 1 - 3 หากมีผู้สงสัยก็ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 เดือน แต่ถ้าไม่สงสัยก็ไม่ต้องส่ง จากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศใช้ได้ทันที


 
ส่วนการแก้ประเภทที่ 2 คือถ้ามีการแก้หมวด 1 เกี่ยวกับเรื่องทั่วไป หรือหมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการแก้เกี่ยวกับคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม และอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ ซึ่งกระจายอยู่หลายหมวด ก็ต้องนำเข้าสู่รัฐสภาผ่านวาระ 1 - 3 จากนั้นต้องนำไปทำประชามติ ซึ่งการทำประชามติ ยุ่งยากอยู่เรื่องหนึ่งเพราะมีล็อกเอาไว้ว่า การทำประชามติต้องทำตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงลงประชามติ ซึ่งขณะนี้เรายังไม่มีกฎหมายนี้ และต้องใช้เวลาในกระบวนการออกกฎหมาย

 

 

นายวิษณุ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราเคยมีกฎหมายว่า ด้วยการออกเสียงลงประชามติ แต่ออกตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า เมื่อรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไปกฎหมายดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้ ต่อมามีการออกกฎหมายประชามติเมื่อปี 2559 เพื่อใช้ลงประชามติธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แต่เป็นการใช้เฉพาะเท่านั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเสร็จก็จบกันไป  ทั้งนี้คนที่จะทำกฎหมายการลงประชามติคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่ง กกต.เคยส่งร่างมาที่รัฐบาลเมื่อปี พ.ศ.2562 รัฐบาลก็เตรียมจะเสนอเข้ารัฐสภาเพื่อไว้ใช้รองรับ แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ก็หมดวาระอีก เพราะเปลี่ยนรัฐบาล กกต.จึงนำกฎหมายกลับไปปรับปรุง และยังไม่ได้ส่งกลับมา

 

ทั้งนี้ เมื่อจบเรื่องของการทำประชามติ หากมีข้อสงสัยก็ต้องถามไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไม่สงสัยก็ไม่ต้องส่ง จากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ดังนั้นจึงต้องเลือกเอาว่าจะแก้แบบไหน การแก้ไขมาตรา 256 หรือการจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) คือการแก้หมวด 15 ซึ่งเป็นการแก้แบบประเภทที่ 2 ที่ต้องลงประชามติ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงไม่ทันสมัยประชุมสมัยประชุมนี้ เพราะยังมีเรื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 และกฎหมายการทำประชามติ ที่จะต้องมีการจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการลงประชามติ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้งบประมาณมากขนาดนี้ เพื่อ "แก้ไขรัฐธรรมนูญ"มาตราเดียวถือว่าคุ้มค่าหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ “แต่ถ้าคิดว่าจำเป็นจะแก้ก็ต้องคุ้ม ถ้าจะพูดเหมือนที่ฝ่ายค้านบางท่านพูดว่า ก็ไม่เป็นไรถ้าจะต้องเสีย ก็ต้องยอมเสีย หากมีเหตุผลและมีความจำเป็นก็ต้องทำ แต่ถ้าคิดว่าจะลำบากสิ้นเปลืองในยุคนี้เวลานี้ ข้อสำคัญคือ พอดีพอร้ายคือมันคงไม่ได้ลงประชามติหนเดียว เพราะลงเพื่อที่จะไปแก้ นี่คือความเห็นของอีกฝ่ายแต่บอกไม่ได้ว่าคือใคร ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่า จะเสียก็ช่างเพราะเป็นการกระจายรายได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นการกระจายรายได้ เพราะเงินนำไปใช้ในด้านธุรการ ไม่ได้นำไปแจกประชาชน 

 

แต่เป็นในส่วนที่ผู้สมัครไปกระจายกันเอง การลงประชามติไม่มีผู้มีส่วนได้เสียที่จะไปแจกหัวคะแนน อีกฝ่ายก็บอกว่า การแก้ไขและลงประชามติต้องใช้เงินเยอะ อาจจะไม่ใช่หนเดียว ถ้าสมมุติว่า ลงประชามติผ่านจนนำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร.ซึ่งฉบับที่มี ส.ส.ร.ก็ต้องนำไปลงประชามติอีกรอบ อย่างน้อยก็ต้องมีการลงประชามติถึง 2 ครั้ง ดังนั้นถ้าจำเป็นจะเสียก็ต้องเสียไม่มีปัญหา ส่วนจะจำเป็นหรือไม่จำเป็นแล้วแต่พูดกันในทางการเมือง”

เมื่อถามถึงข้อเสนอของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธาน กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้เสนอแนวทางของชุดดังกล่าวมาให้ทางรัฐบาลด้วย นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ได้ส่งมา รัฐบาลก็รออยู่ เพราะนายกรัฐมนตรีพูดกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าอยากให้รอเพื่อจะได้รู้ว่าจะแก้เป็นรายมาตรา หรือแก้ไขทั้งหมดตอนนี้รัฐบาลมีความคิดอยู่แล้วว่าจะทำอะไรในส่วนเหล่านี้ขอให้รอฟัง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เพราะตอนนี้ฝ่ายค้านก็จะแก้อย่างหนึ่ง และพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคก็ไม่ได้คิดเหมือนกันหมด 

 

ขณะที่ ส.ว.ก็คิดจะแก้เหมือนกัน แต่เมื่อเข้าไปในที่ประชุมรัฐสภาก็ต้องใช้เสียงของ 2 สภา ที่มีเสียงประมาณ 750 คน ซึ่งต้องโหวตให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งคือ 375 คน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับเสียงของ ส.ว.250 คน ที่จะต้องเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 ใน 3 หรือ 84 คน เมื่อไปถึงในการพิจารณาวาระ 3 ก็จะไปย้อนนับเสียง ส.ส.ฝ่ายค้าน ที่ต้องมีเสียงเห็นชอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย จึงจะผ่านในวาระ 3 จึงจะเข้าสู่กระบวนการต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม หากแก้ไขแบบที่หนึ่งก็จะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เลย ส่วนประเภทที่ 2 จะต้องนำไปลงประชามติ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนั้นจึงต้องพูดตกลงทำความเข้าใจกันให้ดีก่อน ให้เข้าใจเพื่อไม่ให้ไปเกิดปัญหาในสภา และขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกัน ซึ่งกมธ. ชุดของนายพีระพันธุ์ ก็จะช่วยได้เพราะมีสมาชิกจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล

 

เมื่อถามว่า นายกฯ จำเป็นต้องยืนตามความเห็นของ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าไม่จำเป็น นายกฯ เพียงอยากทราบว่าจะแก้ในประเด็นอะไรบ้าง ถ้าถามใจรัฐบาล ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลก็มีธงอยู่แล้วว่าอยากจะแก้อะไร

 

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ดูเหมือนรัฐบาลไม่อยากให้มีการตั้ง ส.ส.ร.เพราะไม่อยากให้ไปแก้เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่จริง ใครพูด รัฐบาลไม่เคยพูดในสิ่งนั้น เพราะรัฐบาลบริหารงานมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งคำว่ารัฐบาล ไม่ได้หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว แต่หมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ที่เห็นบ่นๆ อยากให้แก้ไขกันก็มีหลายเรื่อง เช่น มาตรา 144 ที่พูดกันมาหลายวันเป็นต้น ซึ่งเสียงที่คิดอยากให้แก้มาตรานี้ก็มีท่วมท้น