วันนี้ (4 ส.ค.63) ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานในคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ 32 ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่
โดยวันนี้เป็นการไต่สวน น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ผู้ถูกร้องที่ 20 และ นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2
ในช่วงแรกเป็นการไต่สวนในส่วนของ น.ส.ภาดาท์ และพยาน 2 ปาก ซึ่งศาลได้สอบถามถึงการดำเนินการกิจการของ บริษัท ทาโร่ ทาเลนท์ ว่าทำธุรกิจผลิตสื่อประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลข่าวสารตามที่ระบุในวัตถุประสงค์ที่ยื่นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือไม่ ซึ่งน.ส.ภาดาท์ ชี้แจงว่าบริษัทตั้งขึ้นเพื่อจัดคอร์สอบรมค่ายเยาวชนให้กับเด็กอายุ 8-14 ปี ในหลักสูตรเอ็กซ์วายแซด และมีการจัดอบรมเพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 23-27 ต.ค.60 ที่เขาใหญ่
แต่การในใบนำส่งงบการเงินที่ยื่นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าทำผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ฯ ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น เป็นเรื่องของผู้จัดทำบัญชีที่ดำเนินการ ซึ่งมักจะนำวัตถุประสงค์เพิ่มเติมที่บริษัทจดเพิ่มจากแบบฟอร์มการขอจดทะเบียนมาใส่ไว้ ว่าเป็นลักษณะของการประกอบกิจการในการยื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นการดำเนินการของผู้จัดทำบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชี
พร้อมย้ำว่าเมื่อรู้ตัวเองจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ได้แจ้งให้หนึ่งในกรรมการบริษัทไปเลิกบริษัทในปลายปี 2561 การดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีกรรมการบริหาร 2 คนลงนาม ซึ่งตนก็คิดว่ากรรมการทั้ง 2 คนดังกล่าวดำเนินการแล้ว จึงไม่ได้มีการติดตามสอบถาม และไม่ได้มีการลงชื่อในเอกสารที่ยื่นต่อราชการใดๆ อีกเลย เพิ่งมาทราบว่าไม่ได้มีการเลิกกิจการหลังมีการยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ตุลาการได้สอบถามว่า ถ้าเลิกกิจการตั้งแต่ปลายปี 61 และไม่ได้ลงชื่อยื่นในเอกสารใดอีก ทำไมในเอกสารงบการเงินลงวันที่ 18 มิ.ย. 62 ยังมีรายมือชื่อของ น.ส.ภาดาท์ ลงนามเอกสารยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นหลังจากการเปิดรับสมัครส.ส.ไปแล้ว 6 เดือน น.ส.ภาดาท์ อ้างว่าอาจจะลืม เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว
ด้านน.ส.น้ำอ้อย อยู่อรุณ ผู้จัดทำบัญชีบริษัทในปี 60 ชี้แจงต่อศาลว่า การระบุวัตถุประสงค์ในใบนำส่งงบการเงินที่ยื่นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ไม่ตรงกับการดำเนินกิจการจริงของบริษัท ทำด้วยความเคยชินที่โดยปกติบริษัทอื่นๆ ก็จะเอาวัตถุประสงค์ข้อแรกที่บริษัทนั้นจดเพิ่มเติมมาใส่ ทั้งที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของบริษัท แต่ยืนยันว่าธุรกิจของบริษัทนี้คือจัดคอร์สค่ายเยาวชน
ส่วนที่ระบุไปว่าบริษัทมีรายได้ 100% จากการผลิตข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง ก็เป็นเพราะความเคยชินที่จะนำเอาวัตถุประสงค์ข้อ 23,25 ซึ่งเป็นข้อที่บริษัทจดเพิ่มเติมมาใส่ โดยยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดแต่ไม่ได้จงใจให้ผิดพลาดในกรณีนำวัตถุประสงค์บริษัทจดเพิ่มมาใส่ในงบการเงิน โดยที่ไม่ตรงกับการดำเนินกิจการจริง ซึ่งส่วนใหญ่นักบัญชีก็ทำแบบนั้น
ส่วนที่ศาลสอบถามว่ามีรายการค่าใช้จ่ายผลิตสื่อในช่วงระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-8 ธ.ค.60 เป็นค่าอะไรทั้งที่การจัดอบรมค่ายเยาวชนเสร็จสิ้นตั้งแต่ 27 ต.ค. น.ส.น้ำอ้อย ชี้แจงว่า เป็นค่าผลิตสื่อเชิญชวนผู้ปกครองให้ส่งเด็กมาอบรม ซึ่งผลิตไปแล้วแต่ยังไม่จ่ายเงินและมาจ่ายในภายหลัง จึงลงเป็นรายการบันทึกค้างจ่ายที่จ่ายชำระ
ขณะที่นายชาตรี รวิพงศ์ ผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัทดังกล่าวช่วงปี 60 ก็กล่าวว่า ตรวจบัญชีตามเอกสารหลักฐานที่ผู้ทำบัญชีส่งมา ไม่ได้มีการขอดู หรือสงสัยว่าบริษัทดำเนินกิจการตรงตามที่จดทะเบียนหรือไม่ จะดูเพียงตัวเลขของบัญชีว่าเป็นไปตามหลักการบัญชีหรือไม่ ส่วนรายละเอียดอื่นผู้จัดทำบัญชีเป็นผู้จัดทำ ซึ่งตนก็เชื่อในการจัดทำบัญชีของผู้จัดทำบัญชี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนการไต่สวนในรายของ นายธัญญ์วาริน นั้น เจ้าตัวได้ส่งหนังสือมาแจ้งให้ทราบว่า ทราบที่ศาลได้นัดแต่ไม่ติดใจที่จะเข้าไต่สวนจึงไม่มาศาล
ทั้งนี้หลังเสร็จสิ้นการไต่สวน ศาลแจ้งว่า ให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 รอฟังคำวินิจฉัยพร้อมกับผู้ถูกร้องอื่น ๆ