หอการค้า ปรับลด GDP ติดลบ 8.4% -11.4%

03 ส.ค. 2563 | 10:00 น.

หอการค้า ระบุ ภาวะศก.ไทยไตรมาส 2 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โควิดทำเงินหายกว่า 2 ล้านล้านบาท ดับฝันผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว นโยบาย Travel Bubble ไปไม่ถึงฝัน เหตุ ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังพุ่ง แนะ ภาครัฐเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ อัดฉีดเงินให้ปชช.-เอสเอ็มอี มีสภาพคล่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประมาณการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี2563 และธุรกิจ SMEs หลังวิกฤติโควิด-19 ว่า หอการค้าไทยปรับประมาณการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทุกตัวจากที่เคยประมาณการณ์ในเดือนเม.ย.โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ปรับเป็นอยู่ระหว่างติดลบ8.4 ถึง-11.4% โดยมองว่า จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ ติดลบ 9.4% ทำให้เกิดความเสียหายเศรษฐกิจไทย 2.098 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ผลจากมาตรการปิดเมืองที่กระทบต่อภาคท่องเที่ยวธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารค้าปลีกค้าส่งขนส่งและบันเทิงกว่า 1.5 ล้านล้านบาท กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกเกือบ 5 แสนล้านบาท และ สถานการณ์ภัยแล้ง 7.6 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

 

ขณะที่การส่งออกติดลบ 10.2% จากเดิมที่คาดการณ์ว่า จะติดลบ 12.0 ถึง -8.8% การลงทุนรวมติดลบ 8% จากเดิมติดลบ 7.4 ถึง -5.4% จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป 82.3% จากเดิมคาดว่า จะหายไป 78.7-74.3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ1.5% จากเดิมติดลบ1.0ถึง- 0.5% เป็นต้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอเชียพลัสคาด จีดีพีไตรมาส 2 ติดลบ 15% ประกาศจริง 17 ส.ค.นี้

หอการค้าชี้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ขาลง

"กกร." ปรับลดคาดการณ์ "จีดีพี" ไทยปี 63 ลงเป็น -8.0%ถึง-5.0%

ธปท.ประเมินไตรมาสสองจีดีพีหดตัวลึก-ลุ้นผลประสิทธิภาพมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ

 

“มีการประเมินว่าในไตรมาสที่2 ของปีคาดว่าจีดีพีจะติดลบ15% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์และต่ำกว่าไตรมาสที่2 ของปี2541 ซึ่งตรงกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่จีดีพีติดลบ12% ส่วนไตรมาสที่3และ4ของปีน่าจะค่อยๆดีขึ้นจากการมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลและการคลายล็อกเฟสต่างๆเป็นต้น” นายธนวรรธน์กล่าว

โดยมีสาเหตุหลักจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทั่วโลกยังไม่ดีขึ้นและยังมีการระบาดในระลอกสองตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563 เป็นต้นมา การระบาดของโรคทั่วโลกสูงขึ้นๆ มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านคน ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่า จะปรับลดลงหรือคุมสถานการณ์อยู่ทำให้กระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทย โดยมองว่า นโยบายTravel Bubble ที่ภาครัฐเตรียมจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยนั้นต้องปิดตัวลงไม่น่าจะสามารถเปิดให้มีการเดินทางเข้ามาได้ในรูปแบบดังกล่าวในปีนี้

 

ขณะที่เม็ดเงินงบประมาณตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน400,000 ล้านบาทก็ยังไม่ถูกอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจภายในปีนี้ดังนั้นภาครัฐจะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการใหม่ๆเช่นการปล่อยกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะยาวหรือซอฟท์โลนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้เพื่อนำเงินไปใช้เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจประคองไม่ให้มีการเลิกจ้างหรือเลิกประกอบธุรกิจในช่วงนี้ถึงเร่งดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชิมช็อปใช้เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ

 

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า หากไม่มีมาตรการของรัฐบาลของมาเพิ่มเติมรวมถึงเอสเอ็มอีไม่เงินสภาพคล่องหมุนเวียนเชื่อว่าช่วงที่เหลือของปีต้องมีการปลดคนงานออก1.9 ล้านคนโดยเฉพาะในเดือนต.ค. นี้จะเห็นการปลดคนในระดับหลักล้านคนแน่นอนแต่หากเอสเอ็มอีมีสภาพคล่องซึ่งส่วนหนึ่งก็นำมาเป็นค่าจ้างพนักงานและใช้ในการบริหารจัดงานองค์กรก็จะช่วยประคองการจ้างงานได้ประมาณ10 เดือน

 

ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะที่หอการค้าต้องการให้ภาครัฐดำเนินการคืออนุมัติให้มีการจ้างงานแบบรายชั่วโมงหรือชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเลิกจ้างแรงงานในภายหลังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่างๆเพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจจ้างแรงงานที่เคยถูกเลิกจ้างพิจารณาขยายมาตรการพักชำระหนี้แบบอัตโนมัติออกไปอีกอย่างน้อยหกเดือนรวมเป็น 12 เดือน รวมทั้งผ่อนคลายเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆเพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเข้าถึงวงเงินสินเชื่อซอฟท์โลน ในการกลั่นกรองโครงการที่ขอใช้เงินกู้หรือเงินงบประมาณปี 2564 ควรให้น้ำหนักกับโครงการที่เน้นเพิ่มการจ้างงานในตำแหน่งที่ถาวรหรือเพิ่มกำลังซื้อในระบบเช่นมาตรการชิมช็อปใช้มาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นต้น

 

ขณะที่ น.ส.อุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่าจากการผลกระทบจากการระบาดไวรัสโควิด-19 พบว่าเอสเอ็มอี61.7% ได้รับผลกระทบมากถึงมากที่สุด รองลงมา 26.9 % ได้รับผลกระทบปานกลางและ 11.2 % ได้รับผลกระทบน้อยส่วน 0.2% ไม่ได้รับผลกระทบโดยกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับผลกระทบมากถึงมากที่สุดพบว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากกว่า70% ได้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมที่พักร้านอาหารสุขภาพความงามอัญมณีและหัตกรรมส่วนภาคบริการได้รับผลกระทบในระดับมากถึงมากที่สุด 71.1% 

 

ขณะเดียวกันยังพบว่า เอสเอ็มอี 86.5% ยังไม่มีการเลิกจ้างงานแต่ 13.5% บอกว่า มีการปลดคนงานและเลิกจ้างและโดยเฉลี่ยระบุว่า ในช่วงต่อไปหากยังไม่มีรายได้เข้ามาหรือเข้ามาน้อยมากจะสามารถประคองกิจการไปได้อีกเฉลี่ยประมาณ 6 เดือนสูงสุดไม่เกิน9 เดือน ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ระบุว่า จะประคองกิจการไปได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น