กลุ่มแบงก์ฉุดหุ้นไทยQ3 ไม่เกิน 1,450 จุด

29 ก.ค. 2563 | 09:21 น.

FSSIA ชี้หุ้นกลุ่มแบงก์ฉุดดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 3 เคลื่อนไหวไม่เกิน 1,400-1,450 จุด อ่วมจากการตั้งสำรองหนี้เสีย หลังโควิด-19 พ่นพิษ ฉุดกำไรต่ำ แต่มั่นใจไตรมาส 4 ผงกหัว รับอานิสงส์หุ้นกลุ่มน้ำมัน โรงไฟฟ้าฟื้นตัว ประคองดัชนีทะยานแตะระดับ 1,550 จุด

นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟ เอส เอส อินเตอร์เนอร์เนชั่นแนล จำกัด (FSSIA) บริษัทย่อยของ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าFSSIA ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2563 คาดว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นตัวฉุดดัชนีหุ้นไทยทำให้เคลื่อนไหวไม่เกินระดับ 1,400-1,450 จุด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม ทำให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ กดดันให้ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2563 ปรับตัวลดลง

“หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์นับว่ารับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุดเพราะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในฐานะผู้ปล่อยสินเชื่อ นับเป็นตัวแทนของความเสียหายจากวิกฤตการณ์รอบนี้ และมีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน ร่วมกดดันดัชนีด้วย ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 3 /2563 ปรับตัวในกรอบจำกัดคาดว่าไม่เกิน 1,450 จุด แต่เชื่อว่ากรณีเลวร้ายที่สุดไม่น่าจะปรับตัวต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด เนื่องจากมีหุ้นในกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ปิโตรเคมี คอยประคองดัชนี” นายสุวัฒน์ กล่าว

กลุ่มแบงก์ฉุดหุ้นไทยQ3 ไม่เกิน 1,450 จุด

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตหนี้เสียรอบนี้ ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายบุคคลจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการล็อคดาวน์ประเทศส่งผลให้ร้านค้าต่างๆ ต้องหยุดดำเนินการ การค้าขายหยุดชะงัก และเป็นเหตุผลหลักทำให้หนี้เสียทั้งระบบจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3% จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 7% ในช่วงปลายปี 2564 แต่นับว่าไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เมื่อเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งในขณะนั้นหนี้เสียทั้งระบบขึ้นไปสูงสุดถึง 45% และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ที่ระดับ 5.3% ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ(Coverage Ratio) ในขณะนั้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 26% และ72% ตามลำดับ เทียบกับปัจจุบันสูงถึง 117% สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และมีแนวโน้มว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยเพิ่มการตั้งสำรองเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับมือกับหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นได้  

นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4/2563 มีโอกาสเห็นระดับ 1,550 จุด เนื่องจากประชาชนเริ่มคุ้นเคยกับสถานการณ์ ส่งผลให้การดำรงชีวิตใกล้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก่อให้เกิดความต้องการบริโภค ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้มีสัดส่วนต่อมูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ในสัดส่วนที่สูง รวมแล้วเกือบ 20% โดยหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุนอย่างโดดเด่น คือ หุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) และหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด(มหาชน) (PTG) รวมไปถึงความน่าสนใจลงทุนในหุ้นธนาคารพาณิชย์จะกลับมา โดยเฉพาะธนาคารที่มีการตั้งสำรองในอัตราที่สูงจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว อย่างเช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด  (มหาชน) (KBANK)

ขณะเดียวกัน ประเด็นการลงทุนหุ้นคู่แม่และลูก จะกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีอาทิ แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) บริษัทลูกของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) บริษัทลูกของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) คาดว่าจะก่อให้เกิดความคาดหวังการลงทุนในหุ้นแม่เช่นเดียวกับกรณีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) (STGT) ประสบความสำเร็จอย่างมาก พบว่าทำให้หุ้นแม่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) (STA) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นกัน หรือแม้แต่การเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าของบริษัททีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุนใน บริษัท ไทยโพลีคอน จำกัด (มหาชน) (TPOLY)