"ธสน." เผยครึ่งปีแรกมีสินเชื่อคงค้าง 1.26 แสนล้านบาท

22 ก.ค. 2563 | 12:30 น.

"ธสน." เผยครึ่งปีแรกมีสินเชื่อคงค้าง 1.26 แสนล้านบาท ชี้โควิดดันปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 9.07 หมื่นล้านบาท

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ “ธสน.” (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 63 ธสน. มีสินเชื่อคงค้าง 1.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.93 หมื่นล้านบาท หรือ 18.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 3.56  หมื่นล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 9.08 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 8.58 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ “เอสเอ็มอี” (SMEs) เท่ากับ 2.92 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 34.05% โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 ธสน. มีวงเงินสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 9.28 หมื่นล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 5. 29 หมื่นล้านบาท จากจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อคงค้างให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกและลงทุนใน CLMV จำนวน 3.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.38% หรือ 2.85 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่โควิด-19 ทำให้ความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 9.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.75 หมื่นล้านบาทหรือ 70.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

"ธสน." เผยครึ่งปีแรกมีสินเชื่อคงค้าง 1.26 แสนล้านบาท

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก ธสน. ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก โดยพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ลูกค้าเป็นระยะเวลา 6 เดือน และออกมาตรการทั้งด้านสินเชื่อและประกันความเสี่ยงให้แก่ลูกค้า ซึ่ง 81% เป็นผู้ส่งออก SMEs ซึ่งมีความสามารถในการต้านทานปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้น้อย อาทิ ปริมาณคำสั่งซื้อลดลงจากเศรษฐกิจโลกซบเซา ความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าสูงขึ้น

ภาคการผลิตหยุดชะงักจากการที่ซัพพลายเออร์หยุดการผลิตและไม่สามางวัตถุดิบมาได้ ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ขณะที่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่า ทำให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 63 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 4,600 ราย หรือประมาณ 15% ของผู้ส่งออกทั้งประเทศ วงเงินรวมมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ผลดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 63 EXIM BANK มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสำรองอื่นเท่ากับ 1.16 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม การสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง และการกันสำรองตามเกณฑ์ TFRS 9 ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่ง EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน กลุ่มเครื่องมือทางการเงิน (รวมถึง TFRS 9) ทำให้ธนาคารต้องกันสำรองตามเกณฑ์ TFRS 9 2,908 ล้านบาท บวกกับการกันสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสำรองอื่นสำหรับงวดครึ่งแรกปี 2563 เท่ากับ 2,579 ล้านบาท รวมเป็น 5,487 ล้านบาท แต่เนื่องจาก EXIM BANK กันสำรองไว้สูงอยู่เดิม ทำให้งวดครึ่งแรกปี 2563 EXIM BANK ขาดทุนสุทธิเพียง 1.41 พันล้านบาท

“ธสน. มีการติดตามให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งควบคุมดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) เท่ากับ 6.37% ณ 30 มิถุนายน 2563 เทียบกับระดับ 4.60% ณ สิ้นปี 2562 ขณะเดียวกัน EXIM BANK ใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 163.89%”

นายพิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งสำคัญว่า ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจไทยต้องพัฒนาและยกระดับห่วงโซ่อุปทานการผลิตครั้งใหญ่ให้สอดรับกับบริบทใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งกระแสการใส่ใจความปลอดภัย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่จะมีมากขึ้น ตลอดจนความจำเป็นที่จะต้องเร่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า พัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อตอบสนองกระแส Social Distancing และพฤติกรรม New Normal ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

“EXIM BANK จึงพร้อมทำหน้าที่เติมเต็มความต้องการของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ด้านเงินทุนและเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ที่จะใช้ดำเนินธุรกิจต่อไป รวมทั้งต่อยอดพัฒนากระบวนการผลิตและการบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เสริมสร้างภูมิต้านทานของธุรกิจไทย รองรับกับวิกฤตอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”