ตลาด NPA ครึ่งปีหลังคึก

ท่ามกลางความกังวลว่า แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 หลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หมดอายุลง แนวโน้มตลาดสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) หรือ NPA ในช่วงครึ่งปีหลัง ก็จะคึกคักขึ้นเช่นกัน จากสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มขาย NPA ออกมา   

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เอ็นพีเอ ดูแลยากกว่าเอ็นพีแอลและต้องพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของสถาบันการเงิน เพราะเอ็นพีเอเป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน ซึ่งนอกจากตั้งหน่วยงานดูแลทรัพย์และหน่วยจำหน่ายทรัพย์แล้ว จะต้องมีค่าส่วนกลางและภาษีที่ดินด้วย แม้ปัจจุบันจะจ่ายภาษีในอัตราส่วนลดก็ตาม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดบูธคลินิกแก้หนี้สัญจรทั่วประเทศ

จี้รัฐหาทางออกลูกหนี้ รีไฟแนนซ์หวั่นเป็น NPL80%

ธปท.รุกลดเสี่ยงโควิด-19 ป้องกันก่อน‘เอ็นพีแอล’ลาม

"เอสเอ็มอี"เอ็นพีแอล ลุ้นสสว.ชงแสนล้านอุ้ม

ทั้งนี้ BAM มีเอ็นพีเอ 21,163 รายการ คิดเป็นมูลค่า 60,943 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคาร กรุงไทยเพื่อซื้อเอ็นพีเออีก 3-4 พันล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีซื้อเข้ามาแล้วกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งภาพรวมการขายเอ็นพีเอปีนี้ชะลอตัวจากปีก่อน โดยเฉพาะอาคารชุด แต่กลุ่มที่ยังไปได้เช่น ที่ดินเปล่า แนวราบ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ซึ่ง BAM เน้นทำการตลาดมากขึ้น เช่น ทำตลาดออนไลน์ พร้อมคัดทรัพย์สวยแปลงใหญ่ เพื่อการลงทุน เช่น สนามกอล์ฟ ที่ดินแนวราบ ศูนย์อบรมสัมมนา หรือโกดัง ใช้กลยุทธ์ราคา ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน เพิ่มแรงจูงใจมีส่วนลด โอนเร็ว ซึ่งน่าจะชดเชยให้ยอดขายเท่าปีก่อน (เกือบ 6,000 ล้านบาท)

“ช่วงนี้คัดทรัพย์ 2,000 รายการออกมาทำตลาดอยู่ โดยระหว่างนี้เตรียมแคมเปญพิเศษเดือนกันยายนวันที่ 9 เดือน 9 แคมเปญดีมากๆ ลดราคา40% เป็นทรัพย์สวยสภาพดี แปลงใหญ่เป็นทรัพย์เพื่อการลงทุน เชื่อว่าจะเพิ่มยอดขายได้ และกำลังเจรจาแบงก์พันธมิตรเพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยตํ่ากับผู้ซื้อทรัพย์จาก BAM” 

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด(บสส.หรือSAM)กล่าวว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลาดเอ็นพีเอน่าจะคึกคักขึ้น หลังจาก 4 เดือนแรกที่ผ่านมาไม่ค่อยมีกิจกรรมการขายเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ โดย SAM เริ่มทำกิจกรรมขายเอ็นพีเอเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และปีนี้กำหนดจัดกิจกรรมมากถึง 18 ครั้ง(ทั้งเฟสบุ๊กไลฟ์ ลงพื้นที่ขายสาขา 4 แห่งทั่วประเทศและร่วมกับพันธมิตรธนาคาร) จากปกติ 9ครั้ง ปัจจุบัน,ยอดเอ็นพีเอมีเกือบ 3,000 รายการ มูลค่ารวมราว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย สัดส่วนทรัพย์แปลงใหญ่เหลือประมาณ 100 ชิ้น โดยได้ลดเป้าหมายการขายเอ็นพีเอปีนี้ลง 10% แม้กำลังซื้อในตลาดจะยังมีอยู่  

ที่สำคัญปีนี้ SAM เน้นกลยุทธ์ลดราคาเฉพาะช่วงโควิด 2-3 เดือน ทั้งราคาที่ปรับลดพิเศษ และมีส่วนลดเพิ่มอีก
(On TOP ) ซึ่งผลตอบรับเข้ามาเป็นที่พอใจ เห็นได้จากผู้เข้าประมูลต่อครั้งราว 20-30 รายการและมียอดขายออกแล้วกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปีที่กำหนดไว้ 3,000 ล้านบาท โดยยอมรับว่า การใช้กลยุทธ์ราคาทำให้ลูกค้าเร่งการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น บางรายการลดราคาสูงสุด 30% และหลังจากนี้จะปรับราคาขึ้น

“เราคัดทรัพย์ออกขาย โดยใช้กลไกลดราคาพิเศษ 800 รายการ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งกระบวนการลดราคาจะทำเมื่อผู้ซื้อให้ความสนใจ 3-4 ราย ผมจะลดราคาแล้วเปิดประมูลใหม่ แต่ไม่ใช่ลดราคาเป็นรายๆ เพราะฉะนั้น จะเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจที่ดี โดยเวลานี้ ราคาเอ็นพีเอในตลาดถือว่า ยังลดลงและเป็นโอกาสของผู้ที่มีสภาพคล่องสามารถเลือกซื้อทรัพย์เก็บและทำราคาได้ดี ที่สำคัญช่วงนี้ เราขายในราคาตํ่ากว่าตลาดและ Shock Price” 

ด้านตลาดรับซื้อเอ็นพีแอลปีนี้ตั้งเป้าไว้ 1.5 หมื่นล้านบาทจากพอร์ตปัจจุบันมี 3 แสนล้านบาท โดยภาพรวมเอ็นพีแอลปีหน้าจะเห็นธนาคารพาณิชย์นำออกขายมากขึ้น ซึ่งตลาดยังมีผู้ซื้อและผู้ขาย

ด้านแหล่งข่าวระบุว่า มาตรฐานบัญชี TFRS9 ที่ยังไม่เริ่มใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐสามารถหายใจได้คล่อง ทำให้ตลาดเอ็นพีเอค่อยไปค่อยไป เพราะหาก TFRS9 เกี่ยวกับเอ็นพีเอต้องใช้บังคับจริงๆ จะทำให้แต่ละธนาคารต้องกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งกระทบค่อนข้างมาก เพราะทุกธนาคารต้องกันสำรองฯ จนกว่าจะขายเอ็นพีเอออกไปหมด ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เกณฑ์นี้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ เชื่อว่า ธนาคารเจ้าหนี้จะลดการเข้าไปประมูลซื้อทรัพย์ โดยเปิดทางให้บุคคลภายนอกเข้ามาซื้อแทน 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,593 วันที่ 19 - 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563