นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ทำงานได้มุ่งเน้น 2 แนวทาง ได้แก่ นโยบาย Energy for All ที่ต้องการให้พลังงานสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกคน และผลักดันให้ไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคอาเซียน เพราะที่ผ่านมากระทรวงพลังงานมีภาพลักษณ์ด้านกระทรวงเทคนิค ดังนั้นพยายามให้กระทรวงพลังงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่ดูแลปากท้องประชาชน
ทั้งนี้ ผลงานสำคัญที่ดำเนินการ ประกอบด้วย การผลักดันโรงไฟฟ้าชุมชน ที่มีหัวใจสำคัญคือประชาชนเป็นหุ้นส่วนโรงไฟฟ้า เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบป้อน เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ และปัจจุบันมีโครงการนำร่องแล้วของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ “กฟผ.” และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค “กฟภ.” ส่วนโครงการเร่งด่วน หรือ “ควิกวิน” (Quick win) 100 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชุมชนทั่วไป 600 เมกะวัตต์
“โครงการดังกล่าวคงต้องรอรัฐมนตรีคนใหม่มาดำเนินการต่อ โดยโครงการนี้ผลตอบแทนต่ำ เอกชนบางรายไม่อยากทำ แต่ก็มีกลุ่มคนบางส่วนต้องการหาประโยชน์ จึงฝาก นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ช่วยดูแลโครงการนี้อย่าให้มีขบวนการนำใบอนุญาตโรงไฟฟ้าไปขายต่อเด็ดขาด”
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนพืชพลังงาน ทั้งไบโอดีเซลและเอทานอล เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร สนับสนุนน้ำมันบี10 เป็นน้ำมันฐาน และนำบล็อกเชนเข้ามาดูแลระบบบริหารปาล์มน้ำมันเพื่อตัดปัญหาพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการผลักดันโซลาร์บนหลังภาคประชาชน ที่กำหนดเวลาไว้ 60 วันจะต้องมีความชัดเจนด้านพื้นที่ ประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะฝากปลัดกระทรวงฯดำเนินการเช่นกัน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะตั้งเกิดการผลิตไฟฟ้าดังกล่าวเป็นจำนวน 50 เมกะวัตต์ หลังจากที่ผ่านมายังไม่สำเร็จจากเป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ เพราะติดปัญหาหลายด้าน อาทิ การติดตั้งต้องมีวุฒิวิศวะ เป็นผู้เซ็นต์อนุญาต ซึ่งประเด็นนี้เป็นอุปสรรคที่ประชาชนไม่อยากติดตั้ง
ด้านการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมนั้น ปัจจุบันดำเนินการปรับโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่นแล้ว ลดลง 50 สตางค์หน่วย แต่ยังเหลือที่ต้องดำเนินการในส่วนของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และกำลังพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟระยะยาว ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ “พีดีพี” (PDP) ซึ่งปลายแผนต้นทุนค่าไฟต้องไม่เป็นภาระประชาชน
ขณะที่การตั้งเป้าหมายการศูนย์กลางการจำหน่ายไฟฟ้าของอาเซียน โดย กฟผ. ปัจจุบันดำเนินการตั้งบริษัทเพื่อขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว และ กฟผ.ยังเร่งพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าเพื่อเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า หรือ “อีวี” (EV) ของไทย
ส่วนนโยบายการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ “แอลเอ็นจี” (LNG) ของอาเซียน ดำเนินการโดย บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ที่ผ่านมาคืบหน้าแต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นโยบายนี้ต้องรอให้โควิดจบลงก่อน
สำหรับการจัดหาก๊าซธรรมชาติ สร้างความมั่นคงให้ประเทศนั้น เดิมทีสัปดาห์หน้ากระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เตรียมลงนามเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่ คือ รอบที่ 23 หลังหยุดไปนาน 10 ปี แต่หลังจากนี้ต้องหยุดไว้ก่อน ต้องรอนโยบายรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้ง
ส่วนการเจรจาข้อตกลงพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมาคืบหน้าไปมาก แต่หลังจากนี้คงต้องดูความชัดเจนจากรัฐมนตรีคนใหม่เช่นกัน ด้านกรณี บริษัท เชฟรอน มีข้อพิพาทกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เรื่องการรื้อถอนแทนและต้องการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการนั้น ขณะนี้ก็มีความคืบหน้าในทางที่ดีสามารถเจรจาตกลงกันได้
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากนั้น ที่ผ่านมากระทรวงพลังงาน ได้เข้าดูแลประชาชน ลดค่าใช้จ่ายทั้งน้ำมัน ก๊าซ ค่าไฟ ในช่วงสถานการณ์โควิด ขณะเดียวกันกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้เตรียมวงเงินกองทุนไว้ 3.6 พันล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แม้ปัจจุบันเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่เดิมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นั้น ทราบว่านายวิษณุ เครืองาม นายกรัฐมนตรี จะเข้ามาช่วยพิจารณาต่อจากนี้ ยืนยันว่าโครงการนี้จะยังเดินหน้าต่อเพราะมีการอนุมัติกรอบวงเงินไว้แล้ว
“นโยบายทั้งหมดขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ หรือจะมีนโยบายใหม่เข้ามา ซึ่งนโยบายที่ทำนั้นหากไม่ติดโควิดตลอด 3 เดือนน่าจะมีคืบหน้ามากกว่านี้ หลังจากนี้คงขอพักงานการเมืองก่อน คงกลับไปทำงานด้านประชาสังคมเหมือนเดิม ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่จะเป็นผู้ใดขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือก"