บิ๊กเอกชนขานรับปรับครม.เศรษฐกิจ จี้เร่งเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านสู่ระบบ

16 ก.ค. 2563 | 10:46 น.

ผู้นำภาคเอกชน"สภาหอฯ-สรท.-สมาคมส่งออกข้าว" ขานรับ “บิ๊กตู่”เตรียมปรับครม.เศรษฐกิจ ระบุสเปกขอคนมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับ เร่งใช้เม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านลงสู่ระบบโดยเร็ว

จากที่มีการลาออกของนายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ของพล.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ ผู้นำภาคเอกชนได้ออกสะท้อนมุมมองและความเห็นต่าง

 

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การกระแสการลาออกจากตำแหน่งของรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีการลาออกของรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญๆ อย่าง กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน แต่ถ้าหาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังคงทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเป็นทีมเดิม ก็เชื่อว่านโยบายด้านเศรษฐกิจ และการบริหารงบประมาณต่าง ๆ ก็จะยังคงต่อเนื่อง

 

ส่วนคุณสมบัติสำคัญของรัฐมนตรนีคนใหม่ที่จะเข้ามาแทน มี 2 เรื่องหลักที่ต้องคำนึงถึง คือ เป็นคนที่มีความรู้ ความสำมารถ และทุกภาคส่วนต้องยอมรับทั้งเอกชน ข้าราชการ รวมถึงประชาชน

บิ๊กเอกชนขานรับปรับครม.เศรษฐกิจ จี้เร่งเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านสู่ระบบ

                                     กลินท์  สารสิน

สำหรับกระแสข่าวที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะถูกเปลี่ยนเป็นนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นนายไพรินทร์  ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมจะเข้ามารับตำแหน่งแทนนั้น ขอให้มีการแต่งตั้งอย่างเป็นการและเป็นที่แน่ชัดก่อน ถึงจะสามารถแสดงความเห็นเรื่องนี้ได้ ยังบอกไม่ได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ในตอนนี้

 

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไม่ว่าทีมเศรษฐกิจใหม่จะเป็นใคร สิ่งที่จะต้องเร่งแก้ไข คือ พยุงเศรษฐกิจในประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็ว และอยากเห็นเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ลงเข้าไปสู่ระบบต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม เพราะจากปัญหาโควิด-19 ยังไม่รู้จะจบลงเมื่อใด  ซึ่งกระทบไปทั่วโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทย จึงอยากให้ทีมเศรษฐกิจใหม่เร่งหาแนวทางนำเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านบาทเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างแท้จริง

บิ๊กเอกชนขานรับปรับครม.เศรษฐกิจ จี้เร่งเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านสู่ระบบ

                             กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์

“ภาคเอกชนไม่อยากเห็นการเกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างกรณีทหารอียิปต์ และปัญหาการระบาดรอบ  2  จึงอยากฝากรัฐบาลหามาตรการเข้มงวดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น เพราะถ้าประเทศจะต้องล็อกดาวน์เหมือน 3-4 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่มากขึ้น จะเห็นว่าขณะนี้ถือเป็นเรื่องที่สอดคล้องและท้าทายทีมเศรษฐกิจใหม่ที่อาจจะเห็นหน้าตารองนายกรัฐมนตรีคนใหม่  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ที่จะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระบบของประเทศให้กลับมาดีขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องเร่งดูแลภาคการส่งออก เพราะจากปัญหาโควิดภาคการส่งออกได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนใหม่จะต้องดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทให้เอื้อต่อการแข่งขันส่งออกให้ดียิ่งขึ้น”

 

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีขอให้เป็นคนที่มีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะจากนี้เรื่องของเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่าย หลังการระบาดของโควิด-19 คนที่จะเข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างมาก เท่าที่ดูรายชื่อโผของบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งก็มองว่าน่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดี ขณะนี้ต้องดูทั้งสองฝั่งคือฝั่งในประเทศที่ต้องกระตุ้นให้เกิดการบริโภค สร้างความเชื่อมั่นในประเทศให้สูงขึ้น และอีกฝั่งคือนโยบายด้านต่างประเทศที่ต้องทำควบคู่กันไป

บิ๊กเอกชนขานรับปรับครม.เศรษฐกิจ จี้เร่งเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านสู่ระบบ

                                 ชูเกียรติ  โอภาสวงศ์

“ในส่วนของการส่งออกข้าวในปีนี้ตลาดไม่ค่อยสดใสนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามที่ขายข้าวได้ในราคาที่ต่ำกว่าไทย ทำให้ผู้ส่งออกข้าวไทยแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง  หนทางเดียวคือการพัฒนาวิจัยพันธุ์ข้าวที่ตลาดขาดแคลนหรือยังไม่มีเช่น ข้าวพื้นนุ่ม ที่ตลาดมีความต้องการเพิ่ม หากเร่งดำเนินการได้ก็เชื่อว่าประเทศไทยจะกลับมาเป็นผู้ส่งออกในลำดับต้น ๆ ของโลกได้