ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

12 ก.ค. 2563 | 02:51 น.

ปักหมุดเช็ค-อินสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเมืองกรุง - ฝั่งธน "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา" ชมวิว 360 องศาแบบไม่มีอะไรมากั้น

เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 24 มิ.ย. 2563 สำหรับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของคนเมืองกรุงและฝั่งธน อย่าง "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา" ซึ่งถือเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าแห่งแรกของประเทศไทย โดยสวนสาธารณะแห่งนี้นอกจากจะใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังสามารถมาออกกำลังกาย และที่ถือเป็นไฮไลท์คือเป็นจุดชมวิวกลางแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม สามารถมองวิวได้แบบ 360 องศา ชวนให้นักท่องเที่ยวมาปักหมุดเช็ค-อิน


ส่วนวิว 360 องศาแบบไม่มีอะไรมากั้น จะมีอะไรบ้างนั้น ในเฟซบุ๊กของ ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง หรือ เอิร์ธ  โฆษกกรุงเทพมหานคร ก็ได้บอกเล่าพร้อมโพสต์ภาพประกอบไปด้วย

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
 1. จุดชมวิวแรก หากเดินขึ้นมาบนสวนจากฝั่งพระนคร  เรียกว่า ลานอรุณรุ่ง เน้นชมวิวทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยายามพระอาทิตย์ขึ้น สถานที่แรกเห็นทางซ้ายมือ คือ ไปรษณียาคาร หรือเดิมสะกดว่า ไปรสะนียาคาร ซึ่งเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จำลองที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกของไทย เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของการไปรษณีย์ไทยในอดีตตั้งอยู่บริเวณเชิงพระปกเกล้า ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ปากทางออกของคลองโอ่งอ่าง (คลองบางลำพู) สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก

 

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
2.มองข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาฝั่งธนขวามือจะพบกับ ศาลเจ้ากวนอู (คลองสาน)เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีอายุมากว่า 284 ปี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2279 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ว่ากันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสิน เคยเสด็จมาสักการะเทพเจ้ากวนอูที่ศาลแห่งนี้ ก่อนที่จะกรีธาทัพไปทำสงครามด้วย ศาลเจ้ากวนอูแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในชุมชมสมเด็จย่าใกล้กับสวนสมเด็จย่า หลังวัดอนงคารามย่านคลองสาน ฝั่งธนบุรี เปิดทุกวัน ระหว่างเวลา 7.00 - 18.00 น

 

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
3.มองถัดมาอีกนิดติดกัน เป็นมัสยิดกูวติลอิสลาม หรือตึกแดงแต่เดิมตึกแดงเคยเป็นสำนักงานพระคลังสินค้าของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ที่ทรงได้บริจาคให้กับชาวมุสลิมในชุมชนนี้เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติศาสนกิจ บริเวณมัสยิดแห่งนี้มีเชื้อสายปัตตานี ซึ่งมีความสามารถทางการช่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่างทำทองนาค กับกลุ่มเชื้อสายอินเดียซึ่งมีความสามารถในการประกอบธุรกิจค้าขาย “วัดมัสยิดกูวติลอิสลาม” สร้างในปี พ.ศ. 2502 ตามแบบมัสยิดกลางของอาณาจักรโมกุล โดยช่างชาวอินเดีย ซึ่งย่านนี้แต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพของคนจีนโดยกลุ่มอาคารพานิชย์ของชาวจีนเหล่านี้จะทาด้วยสีแดงทำให้มัสยิดถูกเรียกตึกแดงไปด้วย
 

 

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

4.กลับหลังหันมาฝั่งตะวันตก ตรงหน้าจะพบกับ สะพานพุทธซึ่งสร้างขึ้นสมัยในรัชกาลที่ 7 เนื่องในโอกาสสมโภชน์พระนครครบ 150 ปี เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเพื่อเชื่อมการคมนาคมระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรีเข้าด้วยกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปิดเส้นทางที่ทำให้การค้าขายทั้งฝั่งพระนครและธนบุรีคึกคักยิ่งกว่าเดิม เป็นสะพานข้ามเจ้าพระยาแห่งที่ 2 ที่เกิดขึ้นหลังการสร้างสะพานพระราม 6 ซึ่งเป็นสะพานรถไฟเชื่อมทางรถไฟสายใต้กับสถานีหัวลำโพง

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
5.ติดกับเชิงสะพานพุทธ จะเห็นพระบรมธาตุเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ทรงกลม สัณฐานรูปโอคว่ำ สูง 60.525  เมตร ฐานล่างส่วนนอกวัดโดยรอบได้ 162   เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร มีช่องคูหาเรียงรายล้อมรอบชั้นล่างพระเจดีย์ 54  คูหา ชั้นบนถัดจากช่องคูหาขึ้นไปมีพระเจดีย์เล็ก 28  องค์ เรียงรายพระเจดีย์องค์ใหญ่อยู่ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
6.อาคารสองชั้นหลังใหญ่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นอาคารศาลากลางว่าการจังหวัดธนบุรี เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์อยู่หน้าวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี (ปัจจุบันเป็นอาคารที่ทำการของสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร)

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
7.มองในระแวกเดียวกัน สถานที่เห็นเด่นชัดที่โดดเด่น เป็นวัดซางตาครู้ส, โบสถ์ซางตาครู้ส หรือ วัดกุฎีจีน เดิมเป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในซอยกุฎีจีน แยกซอยอรุณอมรินทร์ 4 (ถนนเทศบาล สาย 1) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี สร้าง สมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระราชทานที่ดินให้แก่ชาวโปรตุเกสซึ่งร่วมทำการศึกต่อต้านพม่าจนได้รับชัยชนะ นักบวชชาวโปรตุเกสจึงได้เริ่มก่อสร้างอาคารวัดหลังแรกที่สร้างด้วยไม้ทั้งหมดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2313 


ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในชุมชนในปี พ.ศ. 2376 ทำให้อาคารวัดพังเสียหายทั้งหมด จึงต้องก่อสร้างใหม่ด้วยอิฐถือปูน และได้ก่อสร้างใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2459 ซึ่งคืออาคารวัดหลังที่เห็นในปัจจุบันอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิกเช่นเดียวกับอาสนวิหารอัสสัมชัญ มีจุดเด่นที่ยอดโดมแบบอิตาลีซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับโดมแห่งมหาวิหารฟลอเรนซ์หรือโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม
 

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

8.ถัดจากสำนักเทศกิจเป็นวัดที่มีโบสถ์หลังใหญ่เห็นชัดติดริมแม่น้ำเหมือนกัน คือวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ "วัดกัลยาณ์" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368  และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ด้วยมีพระประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิง


หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เสด็จก่อพระฤกษ์เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2380 อยู่ภายในพระวิหารขนาดใหญ่อยู่กลางวัด ตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและพระอุโบสถ พระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ป่าเลไลย์) ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทาน เป็น 1ใน 2 วัด ของกรุงเทพมหานครที่มีพระประธานของพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ 
อีกแห่งคืออุโบสถวัดบางขุนเทียนใน ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงพุทธประวัติ และแสดงชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ ๓ และยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4  หน้าวิหารหลวงเป็นหอระฆังที่เพิ่งสร้างใหม่ เก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
9.ถัดไปมองเห็นเป็นกำแพงสีขาว คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ , ป้อมวิไชยเยนทร์ เป็นป้อมปราการเก่าแก่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันตก ทางเหนือของปากคลองบางหลวง (คลองบางกอกใหญ่) ปัจจุบันอยู่ในบริเวณกองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ป้อมวิไชยประสิทธิ์เดิมเป็นป้อมหอรบตั้งอยู่มุมกำแพงเมืองบางกอก (ธนบุรี) ถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่ออารักขาปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าขายสำคัญ คาดว่าป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยอาจมีชาวโปรตุเกสช่วยออกแบบ

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
10.สุดท้ายสุด แต่เห็นเด่นสง่า และคุ้นตาสุด คือ พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นพระปรางค์สถาปัตยกรรมไทย ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ ตัวพระปรางค์ปัจจุบันนี้มิใช่พระปรางค์เดิม ที่สร้างขึ้นราวสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีความสูงเพียง 16 เมตร 


โดยปรางค์ปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นแทน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในปี พ.ศ. 2363 แต่ก็ได้แค่รื้อพระปรางค์องค์เดิม และขุดดินวางราก ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการสร้างต่อ โดยพระองค์เสด็จมาวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2385 จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2394 ใช้เวลารวมกว่า 9 ปี


พระปรางค์วัดอรุณฯ ได้รับการบูรณะเสมอมา จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำการบูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ ซึ่งก็คือแบบที่เห็นในปัจจุบัน องค์พระปรางก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยชิ้นเปลือกหอย กระเบื้องเคลือบ จานชามเบญจรงค์สีต่าง เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน เป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังมีการประดับตกแต่งด้วย กินนร กินรี ยักษ์ เทวดา และพญาครุฑ ส่วนยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งยอดนภศูล 


พระปรางค์วัดอรุณฯ มีความสูงจากฐานถึงยอด 81.85 เมตร ทำให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงเทพมาอย่างช้านาน รวมถึงเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและของโลกอีกด้วย


นอกจากสถาปัตยกรรมเก่าแก่โบราณทั้ง 10 จุดแล้ว ก็ยังมีอีก 2 แลนด์มาร์คสำคัญที่สามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวของ "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา"นั่นก็คือ ตึกมหานคร อดีตตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยปี 2561 และ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์  เรสซิเดนท์ ตึกที่สูงที่สุดในตอนนี้ของประเทศไทย

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

ชมวิวเมืองกรุงแบบ 360 องศา จากสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา
เรียกได้ว่าคุ้มค่าสำหรับจุดแลนด์มาร์กทั้งหลายที่สามารถมองเห็นจาก "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา" เอาเป็นว่าผู้ที่สนใจจะมาเช็ค-อิน หรือถ่ายรูปแบบชิคชิคกัล "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา"ก็สามารถเดินทางมาได้หลายวิธี เช่น โดยสารรถประจำทางมาลงที่ใต้สะพานพุทธ ได้แก่ สาย 3, 7ก, 9, 42, 8, 73, 73ก และ 82 หรือเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาขึ้นที่ท่าสะพานพุทธ ซึ่งจะจอดท่านี้เฉพาะเรือด่วนธงสีส้ม และเรือประจำทาง (แบบธรรมดา ไม่มีธง) รวมถึงการใช้บริการรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานีสนามไชยได้อีกด้วย โดยจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00 น. ถึงเวลา 20.00 น.

เครดิตภาพและข้อมูล :เฟซบุ๊ก เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang