เคจีไอ คาดกำไรแบงก์ Q2 หดตัว 25%  สำรองหนี้เสียดันต้นทุนพุ่ง  

07 ก.ค. 2563 | 00:44 น.

เคจีไอ คาดกำไรแบงก์ไตรมาส 2 หดตัว 25% YoY จากการสำรองหนี้เสีย ดันต้นทุนพุ่ง คาดเพิ่มมากขึ้นหลังจบโครงการช่วยเหลือ  " KBANK - KTB" กดดันมากสุด จากสินเชื่อกลุ่ม SME และกรณีหนี้"การบินไทย" เลือก TISCO และ KKP เป็นหุ้นเด่น


บล.เคจีไอ (ประเทศไทย ) ระบุว่าการผ่อนคลายการตั้งสำรองและโครงการบรรเทาผลกระทบของลูกหนี้ ทำให้ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารยืดไปจนถึงสิ้นปี ทั้งนี้เนื่องจากมีจำนวนลูกหนี้ที่ยื่นขอเข้าร่วมโรงการเป็นจำนวนมาก เราจึงคิดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะเตรียมสำรองพิเศษเพื่อรองรับความสี่ยง NPL หลังจากที่โครงการบรรเทาผลกระทบลูกหนี้สิ้นสุดลง 

 

คาดว่าธนาคารที่มีการปล่อยกู้สินเชื่อ SME สูงอย่างเช่น KBANK และ TMB จะกำหนดตั้งสำรองๆ (credit cos) เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า KBANK จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.50% (จากเป้าทั้งปีของธนาคารที่ 1.50% ) และ TMB ที่ 1.60% (จากเป้าทั้งปีของธนาคารที่ 1.20-1.30%) และคาดว่าของ KTB จะอยู่ที่ 1.70% รวมสำรองพิเศษสำหรับหนี้การบินไทย ในขณะที่คาดว่าของ SCB/BBL จะอยู่ที่ 1.80% และ1.20% ทั้งนี้ เราคาดว่ามีแค่ TISCO เท่านั้นที่จะกำหนด credi cost ลดลงเนื่องจากมีการตั้งสำรองก้อนใหญ่เพื่อรองรับหนี้เสียเอาไว้แล้วตั้งแต่ในไตรมาส1/63

 

สินเชื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งขณะที่ margin ทรงตัว

สินเชื่อของธนาคารใหญ่ส่วนใหญ่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากตลาดพันธบัตรผันผวน ส่งผลให้บริษัทเอกชนหลายแห่งไม่สามารถรีไฟแนนซ์ หุ้นกู้ด้วยต้นทุนที่ถูกลงได้ ดังนั้นความต้องการสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจจึงเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่เป็นผู้นำในสินเชื่อธุรกิจได้แก่ KBANK และ BBL นอกจากนี้ สินเชื่อพิเศษที่ปล่อยให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มขึ้นก็หนุนให้สินเชื่อของ KTB โตได้ถึงสองหลัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก SCB ได้รับชำระหนี้เงินกู้พิ่มขึ้นจึงทำให้ยอดสินเชื่อทรงตัว ในขณะเดียวกัน สินเชื่อผู้บริโภคที่หดตัวลงก็กดดันยอดสินเชื่อของธนาคารขนาดเล็ก ทั้งนี้ประเมินว่าการลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และการปรับลดเงินนำส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะช่วยให้ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงรักษาระดับมาร์จิ้นเอาไว้เท่าเดิม QoQ ได้

 

คาดว่ากำไรใน Q2/63F จะลดลง 14%QoQ และ 25% YoY

เราใช้สมมติฐานว่าสินเชื่อธุรกิจเร่งตัวขึ้น ขณะที่ NIM หรือรายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยทรงตัว QoQ  รายได้จากค่าธรรมเนียมลดลงประมาณ 5% QoQ และ 10% YoY ส่วน NPLs เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า ในขณะที่ credit cost เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเราคาดว่า BBL และ KBANK จะพลิกจากที่มีผลขาดทุนจากการลงทุน ในขณะเดียวกัน credit cost จะกดดันให้กำไรของ KBANK ลดลงถึง 46% YoY ขณะที่สินเชื่อที่ปล่อยให้ "การบินไทย" จะกดดันกำไรของ KTB ให้ลดลงถึง 41% 

อย่างไรก็ตาม มองว่ากำไรของ TISCO ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี และคาดว่า credit cost จะลดลงเนื่องจากมีการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับหนี้เสียเอาไว้แล้วใน Q1/63 และไม่ได้มีสินเชื่อที่ผิดนัดชำระหนี้มากนัก ทั้งนี้ เนื่องจากราคาหุ้นย่อลงมาแล้ว เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น TISCO จากถือเป็นซื้อ และคงราคาเป้าหมายเอาไว้เท่าเดิมที่ 94.00 บาท และ KKP ที่ราคาเป้าหมายที่ 64.00 บาท

 

 

เคจีไอ คาดกำไรแบงก์ Q2 หดตัว 25%  สำรองหนี้เสียดันต้นทุนพุ่ง