วันที่1ก.ค. 2563 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 หรือ "งบฯปี 64" ว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง สำหรับการบริหารประเทศในแต่ละปี และสำคัญมากขึ้นเป็นทวีคูณ สำหรับการบริหารประเทศในภาวะวิกฤตที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การพิจารณา"งบฯปี64" ที่สภาฯ กำลังดำเนินการอยู่นี้ จึงต้องกระทำด้วยความรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ป้องกันมิให้ประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง บนความเสียหายของประเทศและประชาชน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 กระทบพร้อมกันทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ จนถึงขนาดเล็ก แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ ประเทศไทยได้รับผลกระทบน้อยในด้านการระบาดของโรค แต่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจกลับติดอันดับต้นๆ ของโลก นี่เป็นสิ่งที่น่ากังวล อันเกิดจากมาตรการที่ผิดพลาดของรัฐบาล เป็นมาตรการที่มีต้นทุนที่สูงเกินความจำเป็น ความเสียหายที่เกิดขึ้นเบื้องต้น คาดว่าถึงระดับ 2 ล้านล้านบาท ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ปี 63 จะหดตัวติดลบ 8.1% ลงลึกกว่าตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ตอกย้ำความผิดพลาดของรัฐบาลในการรับมือโควิด-19
เรื่องท้าทายสำคัญต่อรัฐบาลในเวลานี้คือ มาตรการรองรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างไร มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ส่วนตัวมองว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้มาตรการแบบได้ทำ แต่ไม่มองถึงประสิทธิภาพที่ปลายทาง ที่ผิดพลาด มีช่องโหว่ และเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายอยู่มาก ดังนั้น หากไม่นำกลับไปแก้ไข ก็ไม่อาจจะสนับสนุบงบประมาณฉบับนี้ให้ผ่านไปได้
"คำถามที่สำคัญ คือ แล้วจะจัดทำงบประมาณอย่างไร ที่รัฐบาลจัดทำมา เป็นคำตอบที่ใช่หรือไม่ โจทย์หลักสำคัญของรัฐบาลที่ต้องท่องคาถาไว้ สำหรับการจัดทำงบประมาณครั้งนี้ คือ ต้องรองรับคนตกงานจำนวนมหาศาลในระยะสั้นได้ ต้องสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะกลาง ระยะยาวได้ ต้องทำได้เลย ทำได้เร็ว”
งบประมาณสำหรับภาวะวิกฤติ หลักคิดต้องแตกต่างจากภาวะปกติ เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะลามถึงสถาบันการเงินแค่ไหน และจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ ฉะนั้น โจทย์ 3 ข้อนี้ รัฐบาลต้องท่องให้แม่น และทำให้ได้ แต่"งบฯปี64" ฉบับนี้ กลับไม่ได้ตอบโจทย์เหล่านี้เลย ยังคงใช้วิธีการจัดทำงบประมาณแบบเก่าๆ ที่ต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ได้มีการปรับให้เหมาะกับสภาวการณ์วิกฤต ไม่ทันต่อสถานการณ์ ไม่ได้ตอบโจทย์ข้างต้น
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า "งบฯปี64" ยังถูกจัดสรรแบบโบราณ คร่ำครึ มุ่งไปสู่การก่อสร้าง ขุดลอกคูคลอง รวมถึง การจัดอบรมต่างๆ เสมือนทำไปวันๆ ทำตามหน้าที่ไปเรื่อยๆ ตามที่หน่วยราชการเสนอมา ตามระบบรัฐราชการ รัฐบาลขาดการมองไปที่ภาพใหญ่กว่านั้น คือ อนาคตของไทยจะก้าวไปในทิศทางไหน จะรองรับธุรกิจที่จะเกิดขึ้นใหม่จากพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ยังไง สินค้าการเกษตรจะถูกยกระดับอย่างไร เพื่อให้เกษตรสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งการอุดหนุนภาครัฐไปเรื่อยๆ อุตสาหกรรมใดจะเป็นเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า เราจะเอาประเทศไทยไปอยู่ส่วนไหนของห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก
" งบฯปี 64 ต้องไม่ถูกใช้ไปแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยนโยบายสารพัดแจกเพื่อหวังผลด้านคะแนนเสียงและความนิยม เสมือนเป็นการรีดภาษีประชาชนไปซื้อเสียงล่วงหน้าเพื่อตัวเอง ขอย้ำว่า เราไม่อยากเห็นนโยบายชิม-ช็อป-ใช้ แจกเงินเที่ยว รวมถึง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในส่วนที่เป็นทางผ่านของเม็ดเงินไปสู่กลุ่มทุนใหญ่ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เป็นมาตรการเพื่อตนและพวกพ้อง โดยใช้ประชาชนและภาษีประชาชนเป็นเครื่องมือ เหมือนที่กระทำมาในอดีต" นายสมพงษ์ กล่าว