เส้นทางวิบาก ยกสถานะ “วอชิงตัน ดีซี” เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ

29 มิ.ย. 2563 | 23:11 น.

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่าน ร่างกฎหมายยกสถานะกรุงวอชิงตัน ดีซี ขึ้นเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกาเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญหลังจากที่มีการผลักดันเรื่องนี้มานานถึง 4 ทศวรรษ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ วุฒิสภา ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ก็คงจะแพ้โหวตและไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่ดี

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจาก สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากด้วยคะแนน 232 ต่อ 180 เสียง โดยไม่มี ส.ส.รีพับลิกันยกมือสนับสนุนแม้แต่คนเดียว ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็แสดงจุดยืนคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า ถ้ายก วอชิงตัน ดีซี ขึ้นเป็นรัฐจะทำให้พรรคเดโมแครตได้ที่นั่งในสภาคองเกรสเพิ่มขึ้นไปอีก

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายยกสถานะกรุงวอชิงตัน ดีซี ขึ้นเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกาเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เป็นที่รู้กันดีว่า แต่ไหนแต่ไรมา ชาววอชิงตัน ดีซี จะเลือกนายกเทศมนตรีจาก พรรคเดโมแครต เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า หากวอชิงตัน ดีซี มีสถานะเป็นรัฐใหม่ ก็จะทำให้พวกเขาสามารถเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) 1 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 2 คน ซึ่งจะทำให้รีพับลิกันแทบหมดโอกาสครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาอีกต่อไป เนื่องจากปัจจุบัน ในจำนวนรวม 100 ที่นั่งของวุฒิสภา รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ 51 ที่นั่ง หากวอชิงตัน ดีซี ได้ยกสถานะขึ้นเป็นรัฐ ก็เชื่อว่า 2 ที่นั่งที่เพิ่มขึ้นมาจะตกเป็นของเดโมแครต  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายที่สนับสนุนซึ่งนำโดยนางเอลีนอร์ โฮล์มส์ นอร์ตัน ผู้แทนของวอชิงตัน ดีซี ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้แทนที่ไม่มีสิทธิ์ในการโหวตลงคะแนนและเป็นผู้นำเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว อ้างว่า วอชิงตัน ดีซี มีประชากรถึง 700,000 คน มากกว่าจำนวนประชากรของรัฐเวอร์มอนต์และไวโอมิงด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีสิทธิ์มีเสียงในรัฐบาลกลาง ทั้งที่ก็จ่ายภาษีให้ส่วนกลางเหมือนๆ กัน ซ้ำวอชิงตัน ดีซี ยังจ่ายภาษีให้แก่รัฐบาลกลางมากกว่ารัฐต่าง ๆ ในสหรัฐจำนวนถึง 22 มลรัฐ

เส้นทางวิบาก ยกสถานะ “วอชิงตัน ดีซี” เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ

กระแสเรียกร้องความเป็นรัฐของวอชิงตัน ดีซี เริ่มปะทุรุนแรงขึ้นหลังเกิดวิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ระบาด โดยมหานครแห่งนี้ได้รับงบประมาณต่อสู้สถานการณ์โควิด-19 เพียง 500 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ 50 รัฐของอเมริกาได้รับงบจากรัฐบาลกลางเพื่อการนี้ถึงรัฐละ 1,200 ล้านดอลลาร์

 

นอกจากนี้ เมื่อเกิดการประท้วงลุกฮือทั่วประเทศกรณีตำรวจสังหารนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสี เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ในกรุงวอชิงตัน ดีซี โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากนายกเทศมนตรี

 

วอชิงตัน ดีซี มีประชากรเป็นชาวอเมริกันผิวสีจำนวนมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว กระทั่งได้ฉายาเรียกเล่น ๆว่าเป็น “เมืองช๊อคโกแลต” ที่นี่คือฐานเสียงที่มั่นคงของพรรคเดโมแครตนับตั้งแต่ได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงของสหรัฐเมื่อปีพ.ศ. 2333 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรุงวอชิงตัน ดีซี (ชื่อวอชิงตันมาจากชื่อของบิดาแห่งชาติและประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ คือ จอร์จ วอชิงตัน และดีซี เป็นตัวย่อมาจากคำว่า ดิสทริค ออฟ โคลัมเบีย)  ถือเป็นเขตปกครองพิเศษ ไม่ขึ้นกับรัฐใด และไม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐใด

เส้นทางวิบาก ยกสถานะ “วอชิงตัน ดีซี” เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2559 เคยมีการทำประชามติว่าคนวอชิงตัน ดีซี ต้องการยกระดับเมืองหลวงนี้ให้เป็นรัฐหรือไม่ ปรากฏว่า 86% เห็นด้วย และหากวอชิงตัน ดีซี ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัฐ ก็จะมีชื่อว่า รัฐวอชิงตัน ดีซี (State of Washington, D.C.) ตามมติของสภาปกครองเขตพิเศษในปี 2559 แต่ตัวย่อ DC จะย่อมาจากคำว่า Douglass Commonwealth ซึ่งชื่อ “ดักลาส” นั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ เฟรเดอริค ดักลาส (Frederick Douglass) นักเขียน นักพูด บรรณาธิการ รัฐบุรุษ และนักปฏิรูปชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทาสและลุกขึ้นมาสนับสนุนการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา เขาอาศัยอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างปีพ.ศ. 2420-2438

 

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ เดอะ นิวยอร์ค โพสต์ สื่อท้องถิ่นว่า วอชิงตัน ดีซี จะไม่มีวันได้ยกระดับเป็นรัฐ “ไม่ล่ะ ขอบคุณ เรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้” ทรัมป์กล่าว

 

ดังนั้น นักวิเคราะห์เชื่อว่า มีความเป็นไปได้อยู่ทางหนึ่งที่อาจจะทำให้ฝันของชาววอชิงตัน ดีซี เป็นจริงขึ้นมาได้ นั่นก็คือ เดโมแครตจะต้องชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งส.ว.ในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายยกสถานะกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นรัฐที่ 51 อีกครั้งในปีหน้า

ข้อมูลอ้างอิง