บทเรียนที่ "เจ็บปวด" ของสหรัฐหลังคลายล็อกดาวน์  

25 มิ.ย. 2563 | 23:42 น.

การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และการเปิดดำเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้งในหลายพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา เริ่มขึ้นในเดือนพ.ค. แม้ว่าธุรกิจหลายประเภทจะกลับมาเปิดให้บริการต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง แต่ก็ยังห่างไกลคำว่า “เข้าสู่ภาวะปกติ” จำนวนลูกค้าและยอดขายยังไม่ดีดกลับอย่างที่คาดหวัง ทั้งยังมีข้อกำหนดเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย รวมทั้งมาตรการเว้นระยะห่าง (social distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ให้ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านั้น คือหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลายมลรัฐกลับมี ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้น อย่างรวดเร็ว และเป็นการทำสถิตินิวไฮ ทำให้จำเป็นต้อง ชะลอแผนการปลดล็อกดาวน์ ในขั้นต่อไป

บทเรียนที่ "เจ็บปวด" ของสหรัฐหลังคลายล็อกดาวน์  

เท็กซัส เป็นรัฐแรกที่ออกมาประกาศวานนี้ (25 มิ.ย.) ว่า จำเป็นต้อง พับแผนผ่อนคลายล็อกดาวน์เฟสต่อไป เอาไว้ก่อน หลังพบว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิดและผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลยังคงพุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม นายเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ยืนยันว่า ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการไปแล้วก่อนหน้านี้ในการปลดล็อกดาวน์เฟสแรก ๆ  จะยังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้

 

"สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการทำ คือการย้อนกลับไปและปิดภาคธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง การตัดสินใจระงับแผนการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในครั้งนี้จะช่วยให้รัฐเท็กซัสสามารถสกัดการแพร่ระบาดจนกว่าเราจะสามารถเปิดภาคธุรกิจในเฟสต่อไปอย่างปลอดภัย" นายแอบบอตต์กล่าว

 

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลใจก่อนหน้านี้ก็คือ การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ และรีบเปิดภาคธุรกิจเร็วเกินไป จะส่งผลให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลับมาลุกลามอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่หากระงับกิจกรรมของภาคธุรกิจต่าง ๆ นานเกินไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก ภัตตาคารร้านอาหาร สถานบันเทิง กิจกรรมคอนเสิร์ต สถานออกกำลังกาย หรือธุรกิจในภาคโรงแรมและการท่องเที่ยว ก็จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงยากที่จะประเมินได้ อย่างไรก็ตาม จนถีงขณะนี้หลังจากที่หลายมลรัฐได้ปลดมาตรการล็อกดาวน์ลงมาแล้ว ความกังวลในข้อแรกได้เริ่มกลับมาอย่างชัดเจน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (23 มิ.ย.) เป็นวันที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐอเมริกามากสุดเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่วิกฤติด้านสาธารณสุขเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนมี.ค. โดยมีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 35,588 คนภายในวันเดียว (เป็นรองก็แต่เพียงสถิติสูงสุด 36,426 คน ของเมื่อวันที่ 24 เม.ย.) พร้อม ๆกับมีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อรายใหม่จะชะลอลงจนเป็นเส้นแบบราบในเดือนพ.ค. ทำให้หลายมลรัฐเริ่มประกาศลด-เลิกมาตรการล็อกดาวน์ ยกเลิกข้อจำกัดทางสังคมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้น กราฟการติดเชื้อใหม่ก็เริ่มมีทิศทางขยับสูงขึ้น และยังพบข้อมูลใหม่ว่า ดูเหมือนไวรัสโควิด-19 ได้ย้ายเข้าสู่พื้นที่ชนบทและสถานที่อื่น ๆ ซึ่งไม่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดรุนแรงในช่วงแรก ๆ

สหรัฐกำลังผ่อนคลายล็อกดาวน์เร็วไปหรือไม่

ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของไวรัสยังเพิ่มขึ้นในหลายรัฐที่เปิดเศรษฐกิจเป็นรัฐแรกๆ ยกตัวอย่างรัฐฟลอริดา ที่กลับมาเปิดเศรษฐกิจเป็นรายแรก ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบหายนะจากคำสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น กลับพบว่าในเวลานี้ (สถิติ ณ วันพุธที่ 24 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่รายวันสูงสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ด้วยจำนวน 5,500 คนภายในวันเดียว!

 

ส่วนที่รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งไม่เคยใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น ก็ทุบสถิติพบผู้ติดเชื้อรายวันมากที่สุดในวันเดียวกันนั้น และเป็นการทุบสถิติใหม่ครั้งที่ 6 แล้ว  นอกเหนือจากที่กล่าวมา ยังมีรัฐแอริโซนา แคลิฟอร์เนีย มิสซิสซิปปี และเนวาดา ที่ต่างก็พบผู้ติดเชื้อสูงสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด เช่นเดียวกับรัฐเท็กซัส ที่ทำสถิติใหม่สูงสุดไปเมื่อวันจันทร์ (22 มิ.ย.)

ทิศทางแนวโน้มการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้บางรัฐต้องนำมาตรการเชิงป้องกันมาใช้อีกครั้งเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 มิ.ย.) 3 รัฐได้แก่ นิวยอร์ก นิวเจอร์ซีย์ และคอนเนคทิคัต ได้ออกแถลงข่าวร่วมกันว่า ทั้ง 3 รัฐซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด จะกำหนดให้ผู้มาเยือนจากรัฐอื่น ๆ ที่มีสถิติผู้ติดเชื้อระดับสูง ต้องอยู่ภายใต้การกักกันโรคเป็นเวลา 14 วันเมื่อเดินทางมาถึง 

บทเรียนที่ "เจ็บปวด" ของสหรัฐหลังคลายล็อกดาวน์  

ผู้เดินทางจากรัฐที่เข้าข่ายว่าจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการกักโรค 14 วันนั้น ได้แก่ รัฐแอละแบมา อาร์คันซอ ฟลอริดา นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา เท็กซัส วอชิงตัน และยูทาห์

 

นายฟิล เมอร์ฟีย์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวผ่านวิดีโอระหว่างการแถลงข่าวร่วมในนิวยอร์กซิตีว่า  มาตรการใหม่นี้ เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพราะทางรัฐคำนึงถึงประชาชนภายในรัฐเป็นหลัก “ผู้คนจาก 3 รัฐของเราผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายมาได้แล้ว และสิ่งสุดท้ายที่เราจำเป็นต้องทำในตอนนี้ก็คือการออกมาปกป้องคนของเราอีกครั้ง”

 

รายงานข่าวระบุว่า รัฐนิวยอร์ค นิวเจอร์ซี และคอนเนคทิคัต เป็น 3 รัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐที่มีอัตราการติดเชื้อในระดับต่ำนับตั้งแต่มีการล็อกดาวน์เศรษฐกิจส่วนใหญ่ภายในรัฐ

 

ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการที่บังคับใช้ใหม่เกี่ยวกับการกักตัวผู้ที่มาเยือนจากรัฐอื่น หากพบว่า ผู้มาเยือนละเมิดกฎระเบียบกักกันโรค ก็จะต้องถูกปรับเงิน 1,000 ดอลลาร์สำหรับการฝ่าฝืนครั้งแรก และเพิ่มเป็น 5,000 ดอลลาร์ หากทำผิดซ้ำ

 

มาตรการกักกันดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ รัฐฮาวายก็เคยนำมาใช้แล้ว โดยกรณีของฮาวาย ได้กำหนดให้ผู้มาเยือนจากแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐต้องถูกกักโรคเป็นเวลา 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ รัฐฟลอริดาและเท็กซัส ก็เคยบังคับให้ผู้ที่เดินทางมาจากสนามบินต่าง ๆ ในพื้นที่นิวยอร์ก (ซึ่งเคยเป็นจุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดหนักที่สุดของสหรัฐ) ต้องกักโรคเป็นเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน

 

นอกจากเรื่องของการกลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในหลายพื้นที่ที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว  บางรัฐยังพบว่า สถานการณ์การเงิน-การคลังที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการทุ่มงบป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและผลกระทบจากการเก็บภาษีได้น้อยลงเนื่องจากมีการปิดธุรกิจชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์ กำลังสร้างปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข

 

นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ออกมาเปิดเผยช่วงต้นสัปดาห์นี้ว่า นิวยอร์กอาจจะต้องพิจารณาเลิกจ้างพนักงานของรัฐจำนวน 22,000 คน ซึ่งจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในความพยายามเพื่อให้มีการประหยัดงบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์  แต่ถ้าหากนิวยอร์กไม่สามารถประหยัดงบประมาณจำนวนดังกล่าวได้ ก็เชื่อว่าการปลดพนักงานก็จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้

 

ก่อนหน้านี้ เขาได้เคยกล่าวเตือนในเดือนเม.ย.ว่า การล็อกดาวน์นครนิวยอร์กจะทำให้มีการสูญเสียรายได้จากภาษีมากถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบันและปีหน้า