งบประมาณจำนวน 1 แสนล้านบาท (จากก้อน 5.55 แสนล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลตั้งใจนำไปช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุน ปัจจุบันยังหาแนวทางข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรถึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะรัฐเองต่างก็ได้เห็นปัญหาจากมาตรการช่วยเหลือที่ผ่านมา และพยายามที่จะปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมมากที่สุด
นายณัฐวุฒิ เผ่าปรีชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจ-ลี่ แฟมิลี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมเพื่อสุขภาพ แบรนด์ “เวล-บี” ให้ความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เงินจำนวน 1 แสนล้านที่จะนำมาช่วยเหลือเอสเอ็มอีนั้น มองว่าไม่ควรออกมาในรูปแบบเงินกู้ เพราะแม้ว่าเอสเอ็มอีจะได้วงเงินสินเชื่อ แต่ก็ยังไม่มีรายได้เข้ามา เสมือนเป็นเพียงการให้เงินมาช่วยผ่อนภาระค่าดอกเบี้ย หรือค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจกิจ อีกไม่นานก็ต้องปิดกิจการ หรือเรียกว่าเป็นเพียงแค่การยืดระเวลาการปิดกิจการ หรือตายช้าลงเท่านั้น
สำหรับแนวทางในการใช้วงเงินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น มองว่ารัฐบาลควรที่จะดำเนินการในรูปแบบที่เป็นการสร้างรายได้ให้กับเอสเอ็มอีมากกว่า ตัวอย่างเช่น การสร้างตลาดกลางในรูปแบบออนไลน์ที่ประเทศจีน เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถนำสินค้าไปจำหน่ายที่ประเทศจีนได้ เพราะในปัจจุบันลูกค้าจากจีนที่ต้องการซื้อสินค้าจากไทยยังไม่สามารถเดินทางมาที่ไทยได้
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญก็คือ จะต้องเป็นการว่าจ้างภาคเอกชนให้เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องของการสร้างช่องทางการขาย โดยที่รัฐนำเงิน 1 แสนล้านบาทดังกล่าวมาว่าจ้าง โดยจะทำให้เกิดทั้งการจ้างงานสำหรับภาคเอกชนที่เป็นผู้ดำเนินการ และทำให้เอสเอ็มอีได้เงินสนับสนุน ทำให้สามารถนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศได้แบบที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้รัฐบาลต้องดำเนินการในหลากหลายแนวทาง เพื่อให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมเน้นการสร้างรายได้ ถือว่าเป็นความท้าทาย ซึ่งกลุ่มเอสเอ็มอีที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเววลานี้คือกลุ่มท่องเที่ยว โดยเชื่อมโยงหลายอุตสาหกรรมทั้งทัวร์ โรงแรม หรือร้านอาหาร ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการให้บริการในรูปแบบของดีลิเวอรีที่ทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่เอสเอ็มอีก็ยังต้องเสียค่าดำเนินการประมาณ 30% รัฐเองก็อาจจะสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมารองรับ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายกับเอสเอ็มอี เหมือนกับที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทำแพลตฟอร์มขึ้นมา หรือการลดภาษีให้กับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวก็จะช่วยกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรมได้
“ที่ต้องดำเนินการหลากหลายแนวทาง เพราะไม่ใช่ว่าเอสเอ็มอีทุกกลุ่มจะมีสินค้าที่ตอบโจทย์ของจีนได้ เอสเอ็มอีมีหลายอุตสาหกรรม รัฐบาลจะต้องเข้าไปดูว่ามีกลุ่มไหนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยใช้เงิน 1 แสนล้านเป็นตัวกลางในการช่วยเหลือผ่านภาคเอกชนที่มีความชำนาญ”
สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกรายหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ในการขอกู้สินเชื่อจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลหลังโควิด-19 โดยระบุว่า การเข้าถึงสินเชื่อมีเงื่อนไขที่ไม่ผ่อนปรน ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ไม่ต้องการปล่อยสินเชื่อ เพราะกังวลเรื่องของความเสี่ยง เพราะฉะนั้น แนวทางในการนำงบประมาณมาสร้างตลาด เพื่อสร้างรายได้ให้กับเอสเอ็มอีจึงน่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเอสเอ็มอีได้มากในช่วงนี้ จริงอยู่ที่เอสเอ็มอีต้องการสภาพคล่อง แต่การสร้างรายได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน
หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,586 วันที่ 25 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563