นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บีโอไอ” เปิดเผยว่า การส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนั้น กลุ่มประเทศเป้าหมายยังคงมุ่งเน้นอยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เพราะถือเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังขยายตัวเรื่องการลงทุน อีกทั้งหากมองจากสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนก็จะพบว่าเป็นประเทศญี่ปุ่นกับจีนที่สลับกันขึ้นเป็นอันดับที่ 1
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าบีโอไอ เองจะละเลย หรือไม่สนใจกลุ่มประเทศเป้าหมายอื่น แต่ยังเป็นเป้าหมายอยู่เช่นเดิม โดยมองว่าไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก หรือภูมิภาคใดเวลานี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางด้านห่วงโซ่อุปทาน หรือซัพพลายเชน (Supply chain)
“ขณะนี้อย่างที่ทราบกันดีว่าบริษัทต่างๆทั่วโลกกำลังปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางด้านซัพพลายเชน เพราะคาดว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 รวมถึงปัจจัยเสี่ยงเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และสงครามการค้าโลก ดังนั้น ทุกประเทศจึงยังเป็นเป้าหมายของบีโอไอที่จะดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย”
ส่วนสถานการณ์แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนั้น เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ บีโอไอเองพยายามใช้ความสามารถอย่างมากในการบริหารจัดการแนวโน้ม หรือโมเมนตัมของการลงทุนเอาไว้ โดยมาตรการที่ออกมาแล้ว เช่น การกระตุ้นการลงทุนก็ยังคงดำเนินการอยู่ และมีอีกหลายโครงการที่ยังคงเดินหน้าตามแผน ซึ่งอาจจะมีสะดุดไปบ้างในช่วงที่ไทยมีการจำกัดกิจกรรมจากมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ แต่หลังจากที่มีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลายโครงการก็จะกลับมาเดินหน้าตามเดิม
“สถานการณ์ครึ่งปีหลังส่วนหนึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก เพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคต่างประเทศ (External Sector) โดยบีโอไอ คิดว่าจะใช้ทรัพยากร รวมถึงสรรพกำลังทุ่มเทลงไปในส่วนที่จะไปช่วยในเรื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร
อย่างไรก็ดี ปีนี้คงไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายการขอรับการส่งเสริมการลงทุน เพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบันถือว่าเป็นการยากที่จะตั้งเป้าหมาย แต่บีโอไอก็จะพยายามอย่างดีที่สุด โดยแน่นอนว่าเป้าหมายคงไม่ได้เน้นแต่เรื่องตัวเลขเพียงอย่างเดียว คงต้องให้ความสำคัญกับประเภทของการลงทุนที่เข้ามา หรือโครงการที่จะเข้ามาลงทุนด้วย
นางสาวดวงใจ กล่าวถึงสถานการณ์ของการลงทุนในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ว่า หากดูประเภทกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจาะลงไปเฉพาะกิจการเป้าหมาย ซึ่งก็คือกลุ่มอุตสาหกรรม 10 เอสเคิร์ฟ (S-Curve) พบว่า อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนโครงการ และมีเงินลงทุนสูง โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคมมีจำนวนโครงการเข้ามาหลายโครงการ และเป็นเงินลงทุนมูลค่าเท่ากับ 3 เดือนแรกของปีนี้รวมกัน
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบีโอไอ โดยมองว่าในเชิงการตลาดตอนนี้ว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญข้อหนึ่งก็คือ อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทางบีโอไอก็จะเดินหน้าดึงการลงทุนกลุ่มเหล่านี้จากต่างประเทศ และสนับสนุนการลงทุนของไทยในกลุ่มเหล่านี้
“ได้ทราบข้อมูลจากผู้ประกอบการว่า ในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดเหตุการณ์โควิด-19 บริษัทผู้ประกอบการของไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ก็ได้รับออเดอร์จากต่างประเทศมากขึ้น”