ASPS เปิด 3 กลไก หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐานต่อ

15 มิ.ย. 2563 | 06:09 น.

บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้นไทยเสี่ยงปรับฐานต่อจาก 3 กลไก ชี้หุ้นไทยแพง และต่างชาติเริ่มชะลอซื้อ แนะนำ CPALL-DCC แข็งแกร่งสวนตลาด

รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงปรับฐานต่อจาก 3 กลไก คือ กลไกที่ 1 ตลาดหุ้นไทยแพงกว่าตลาดหุ้นโลก หากพิจารณาจาก P/E ตลาดหุ้นไทยมีค่า 21.6 เท่า แพงกว่าตลาดหุ้นโลก (ดัชนี MSCI ACWI) ที่ 20 เท่า และแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 16.3 เท่า ด้านกลไกที่ 2 Valuation ตลาดหุ้นไทยยังแพงอยู่เมื่อเทียบกับในอดีต หากพิจารณา Valuation จาก Market Earning Yield Cap. โดยเปรียบเทียบกับระดับ Bond Yield 1 ปี ที่ 0.49% พบว่า ยังมีค่า Market Earning Yield Cap อยู่ที่ 4.13% สูงกว่าระดับ เฉลี่ยที่ 4.25%

ขณะที่ กลไกที่ 3 Fund Flow เริ่มชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย สะท้อนได้จากค่าเงินบาทที่เริ่มชะลอการแข็งค่า จาก Dollar Index ที่กลับมาแข็งค่าแรง 1.3% ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา รวมถึงต่างชาติที่กลับมาสลับซื้อสลับขายหุ้นไทย โดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิถึง 2,000 ล้านบาท และเป็นการขายมากที่สุดในเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 กลไก แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้อาจขึ้นไม่ได้ร้อนแรงอย่างช่วงที่ผ่านๆ มา และมีโอกาสปรับฐานได้ในบางจังหวะ ตามปัจจัยต่างๆที่เข้ามากดดัน โดยกลยุทธ์ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในเวลาที่เกิดไวรัสโควิด-19 อย่าง บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) และ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)

สำหรับ CPALL หลังมติที่ประชุมศบค.ยกเลิกเคอร์ฟิว เป็นบวกต่อกลุ่มร้านสะดวกซื้อ อย่าง CPALL มากสุด จากจุดเด่นมีสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่ 65%-70% ของรายได้รวมมาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ บวกกับปริมาณการสัญจรกลางคืนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระยะถัดไปคาดว่าจะมาจากมาตรการสนับสนุนท่องเที่ยวในประเทศ จะหนุนสาขาในปั้ม PTT ประมาณ 15% ของยอดขาย กลับมาคึกคักขึ้น จึงเชื่อว่าระยะสั้นผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว และภาพรวมคาด CPALL ยังเป็นหุ้นค้าปลีกที่ยังเห็นกำไรทรงตัวได้ในปี 2563 และระยะยาวยังแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม จากการมีช่องทางค้าปลีกครอบคลุมมากสุด

ด้าน DCC จุดเด่นหลัก คือ กลยุทธ์เชิงรุกด้วยการเข้าหาลูกค้าถึงบ้าน เห็นผลชัดและโดดเด่นว่าคู่แข่ง สะท้อนจากจำนวนบิลที่เพิ่มเป็น 8,000 บิลต่อวัน จาก 6,000 บิลต่อวัน ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน เป็น 139 บาท/ตรม. จากสัดส่วนกระเบื้องพรีเมียมมากขึ้น รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ปี 2563 มีโอกาสสร้าง Positive Surprise ได้อีกครั้ง หลังงวดไตรมาสแรกมีกำไรเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนกระแสกำไรของตลาดฯ