"หมอยง"ไขสงสัย กรุ๊ปเลือด เป็นพาหะของโควิดหรือไม่

12 มิ.ย. 2563 | 04:05 น.

"หมอยง" แจงยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่า  ผู้ที่ติดโรคโควิด-19 เป็นคนกรุ๊ปเลือดเอ มากกว่ากรุ๊ปอื่น


ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลีนิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ได้ไขสงสัย "กรุ๊ปเลือด หรือโลหิตเป็นพาหะของโควิด-19 หรือไม่ " โดยระบุว่า

ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอ ตามที่มีการกล่าวว่า มีโอกาสที่พบผู้ติดโรคโควิด-19 เป็นคนกลุ่มโลหิตกรุ๊ปเอ มากกว่ากรุ๊ปอื่นในทางความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่า กรุ๊ปโลหิตสัมพันธ์กับการติดเชื้อหรือเป็นพาหะของโรคได้

เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ทำให้มีผู้มาบริจาคโลหิตน้อยลงซึ่งในขณะนี้ปริมาณโลหิตที่ใช้ในยามปกติอาจไม่เพียงพอ ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงควรจะมาบริจาคโลหิต ซึ่งมีความปลอดภัยเพราะมีการซักประวัติและการคัดกรองก่อนทำการบริจาคทุกครั้ง

ประโยชน์ของการบริจาคโลหิตสุขภาพแข็งแรงระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงผิวพรรณสดใส เพราะมีการถ่ายเทของเลือด  ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถบริจาคได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

 

ข้อมูลที่มา : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

 

โดยเมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่านักวิจัยในเยอรมนีและนอร์เวย์ได้ศึกษาและค้นพบว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ (A+) มีความเสี่ยงที่จะติดโควิด-19 สูงกว่า และมีอาการรุนแรงมากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่นๆ

ผลการวิจัย ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยโควิด-19 ประมาณเกือบ 2,000 คนในอิตาลี และสเปน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
สิ่งที่ค้นพบคือ ในจีโนม หรือหน่วยพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติของมนุษย์ จะมีสองจุดที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของคนเราที่จะเกิดภาวะระบบทางเดินทางหายใจล้มเหลว หากติดโควิด-19 ซึ่งหนึ่งในจุดสองจุดนั่นคือ พันธุกรรม หรือยีนส์ ที่เป็นตัวบ่งบอก “กรุ๊ปเลือด”

ทั้งนี้ ผลวิจัยพบว่า คนเลือดกรุ๊ปเอ จะมีโอกาสสูงกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นถึง 45% ที่จะเกิดภาวะหายใจล้มเหลว นั่นหมายความว่า มีโอกาสสูงที่จะต้องการออกซิเจน หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในการรักษาโควิด-19

ในรายงานระบุด้วยว่า ในสหรัฐ และไทย มีคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากเลือดกรุ๊ปโอ ซึ่งในการศึกษาพบกว่า คนเลือดกรุ๊ปโอ มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจากโควิด-19 น้อยกว่าหมู่เลือดอื่นๆ ถึง 35%

การศึกษาครั้งนี้ ยังได้อ้างอิงถึงการระบาดของโรคซาร์ส เมื่อ 17 ปีก่อน พบว่าคนเลือดกรุ๊ปเอ มีโอกาสจะติดโรคมากกว่าด้วยเช่นกัน