“เมล์โคราช”ลั่นยังไม่กลับมาวิ่ง จี้ชดเชย30%หรือเลิก“ที่เว้นที่”
เมล์โคราชอ่วมพิษโควิด-19 ปิดกิจการหนีขาดทุนแล้ว ร้องรัฐขอชดเชย 30 % หรือไม่เช่นนั้นยกเลิกกฎเว้นที่นั่ง ระหว่างนี้งดวิ่งต่อไปก่อน ชี้ทั้งผู้โดยสาร-พนักงานประจำรถป้องกันตัวเองเต็มที่อยู่แล้ว ไม่น่าแพร่เชื้อระบาดได้
นายชัยวัฒน์ วงษ์เบญจรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นครชัยทัวร์ จำกัด และนครชัย 21 สมาชิกสมาคมรถโดยสารประจำทางไทย ตัวแทนผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ประกอบการรถโดยสารโคราชกำลังเดือดร้อนหนักทั้งปัญหาผู้โดยสารน้อย รถผีวิ่งแย่งผู้โดยสาร และหยุดเดินรถเพื่อคุมโรคโควิด-19 ที่ต้องจ่ายค่างานคนงานอยู่ แม้บางส่วนจะได้รับชดเชยจากประกันสังคม ซึ่งลูกจ้างร้องว่าบางคนได้แค่ 2,000-2,500 บาท ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ต้องจ่ายสมทบให้ บางรายแบกภาระไม่ไหวต้องปิดกิจการไป เช่น บริษัท บ้านช้างเผือกทัวร์ วิ่งรถสาย 21 กรุงเทพฯ- นครราชสีมา จำนวน 20 คัน ไม่ต่างจากทั่วประเทศที่บริษัทเดินรถล้มตายไปแล้ว 20-30 %
ผลการหารือของผู้ประกอบการรถโดยสารจังหวัดนครราชสีมา เห็นตรงกันว่า หากจะให้รถโดยสารสามารถเปิดการเดินรถเ พื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้ตามปกติ มีเสนอมาตรการไปยังรัฐบาล ดังนี้
1. กรณียังคงมาตรการเว้นระยะห่างที่นั่ง ขอให้ภาครัฐได้ชดเชยการขาดทุนในการประกอบการ ในราคาค่าโดยสารปกติตามลักษณะมาตรฐานรถ อีกจำนวน 30% ของจำนวนที่นั่งของแต่ละเที่ยววิ่ง
หรือ 2.ยกเลิกการนั่งเว้นระยะห่างภายในรถโดยสารสาธารณะ เพราะจากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หากผู้โดยสารได้ป้องกันตนเอง และผู้ประกอบการได้มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด โอกาสที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคจากการเดินทางเป็นไปได้ยากโดย ผู้ประกอบการและผู้โดยสารยังคงต้องเข้มงวดกับมาตรการอื่นๆ
นายชัยวัฒน์ย้ำว่า หากรัฐไม่มีความชัดเจน ก็จะยังไม่เปิดเที่ยววิ่งรถ เนื่องจากไม่คุ้มทุน ที่ผ่านมาอาจมีผู้ประกอบการรายเล็ก ที่เปิดวิ่งอยู่ตอนนี้โดยคิดว่าตนเองอยู่ได้เพราะไม่มีคู่แข่ง แต่หากมีคู่แข่งลงมาเปิดวิ่งด้วยกลุ่มนี้ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงต้องรอคำตอบจากรัฐบาลก่อนจะตัดสินใจกลับมาวิ่งรถให้บริการใหม่
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทางผู้ประกอบการนำเสนอข้อเรียกร้อง เพื่อให้มาตรการสาธารณสุขกับสภาพเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ดังนี้
1. ยกเลิกการเว้นระยะห่างในรถสาธารณะที่มีที่นั่ง เพื่อให้กลับมาวิ่งได้ โดยไม่ต้องผลักภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามวันเวลาที่ภาครัฐเห็นควรว่าเหมาะสมในการเปิดให้บริการ
2. กำหนดให้ผู้ประกอบการวัดไข้ผู้โดยสารทุกคน และจัดเจลล้างมือไว้ให้บริการ ทั้งก่อนขึ้นรถและในรถ กรณีที่ผู้ประกอบการสงสัยอาการของผู้โดยสาร กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 1 คน ประจำทุกสถานีขนส่ง เพื่อตรวจสอบและตัดสินใจในการอนุญาตให้โดยสารหรือเดินทาง
3. กำหนดให้ผู้โดยสารต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกคน ประชาสัมพันธ์ให้งดทานอาหาร พูดคุย หรือสัมผัสบุคคลอื่น (ป้องกันการเปิดปาก จมูก)
4. รถโดยสารทุกคัน ผู้ประกอบการควรทำความสะอาด เช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกเที่ยว โดยเฉพาะจุดสัมผัสต่างๆ
กรณีมีการเดินรถระยะทางยาว หากต้องบริการอาหาร ผู้โดยสารต้องเปิดปาก มีการสัมผัสอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยมือ ร้านอาหารต้องปฏิบัติตามมาตรการเข้มงวดในการให้บริการ ตามนโยบายรัฐเพื่อความปลอดภัย
พนักงานประจำรถต้องใช้มาตรการป้องกันเช่นเดียวกับผู้โดยสาร และงดการสัมผัสระหว่างกันในการให้บริการ งดการแจกอาหารของบริโภคภายในรถ การซื้อ-ขายตั๋ว ใช้มาตรการเว้นระยะ และลดกระบวนการที่ต้องสัมผัสเงิน-สิ่งของระหว่างกันให้มากที่สุด
บันทึกข้อมูลผู้โดยสารทุกคนให้ครบถ้วนตามแบบฟอร์ม หรือการใช้แอพพลิเคชั่นในการติดตามผู้โดยสาร เพื่อติดตามได้ในภายหลัง กรณีเกิดปัญหาหรือต้องการข้อมูล ใช้จุด Check Point ที่กำหนดโดยกรมการขนส่งทางบก ที่มีทุกระยะตลอดเส้นทางให้เป็นประโยชน์ ในการควบคุม ตรวจสอบ ประชาสัมพันธ์ผู้โดยสารตลอดการเดินทาง
หน้า 17 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,581 วันที่ 7 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563