ตลาดหุ้นไทยวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เคลื่อนไหวในแดนบวกช่วงเช้า รับผลดีจากความคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังคลาย Lockdown แต่ช่วงบ่ายกลับมีแรงขายทำกำไรในหุ้นใหญ่อย่างหนัก กดดันดัชนีพลิกไปยืนในแดนลบ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,408.37 จุด ลดลง 30.29 จุดหรือเปลี่ยนแปลง 2.11% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 115,559.91 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ขณะที่ ดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,448.13 จุด และต่ำสุดอยู่ที่1,400.87 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
MINT ปิดที่ 23.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 8,152.65 ล้านบาท
BAM ปิดที่ 25.00 บาท ลดลง 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,841.31 ล้านบาท
PTT ปิดที่ 39.00 บาท ลดลง 1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,596.76 ล้านบาท
PTTEP ปิดที่ 95.50 บาท ลดลง 6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,505.26 ล้านบาท
CPALL ปิดที่ 71.50 บาท ลดลง 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,436.22 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลงแรงในวันนี้ มาจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนหลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากจุดต่ำสุด รวมถึงหุ้นไทยมีราคาแพงสูงสุดในอาเซียนด้วยพีอีที่ซื้อขายระดับสูง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่า Upside จะจำกัด และยังรอติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2563
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการไหลเข้าของเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติอีกสักระยะหนี่ง ว่าจะเป็นการเข้าซื้อในทุกประเทศ หรือเฉพาะประเทศที่อิงเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ จากการปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ มาจากการปรับมุมมองน้ำหนักลงทุนประเภทสินทรัพย์ จากการมองว่าตราสารหนี้ถึงแม้จะมั่นคง แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ ขณะที่ ตลาดหุ้นแม้จะมีความเสี่ยง แต่ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
"นักลงทุนรอดูถ้อยแถลงของเฟดที่จะมีการประชุมในวันที่ 9-10 มิถุนายนนี้ โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับขึ้นมาได้ดีจากการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) ของเฟด และความหวังจากเศรษฐกิจที่คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้ ไม่น่าจะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติม นอกจากนี้ การทำคิวอีของเฟดถือว่าใช้เวลาเร็วมากเพียง 2 เดือน ใช้เงินแล้วประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบได้กับการทำคิวอีที่ผ่านมาถึง 3 ครั้ง ในเวลา 6 ปี"