ศาลปค.ยกฟ้อง“สหวิริยา”ขอถอนมติครม.ตีตราพรุแม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

08 มิ.ย. 2563 | 12:33 น.

ศาลปค.สูงสุดยกฟ้องปมสหวิริยา ขอเพิกถอนมติครม.เห็นชอบขึ้นทะเบียนพรุแม่รำพึง ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ ชี้ชอบด้วยก.ม.แล้ว ซ้ำ 17 มาตรการอนุรักษ์ไม่สร้างภาระในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเหล็ก แต่ยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำ 

วันนี้ (8มิ.ย.63) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่บริษัท เครือสหวิริยา จำกัด และบริษัท โรงถลุงเหล็กสหวิริยา จำกัด ยื่นฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 พ.ย. 52 ที่เห็นชอบการขึ้นทะเบียนรายนามพรุแม่รำพึง ต.แม่รำพึง อ.บางสะพานจ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติและเห็นชอบต่อมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำรวม 17 มาตรการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2 /2552 ลงวันที่ 4 พ.ค.52

โดยศาล ให้เหตุผลว่า แม้การดำเนินการตามนโยบายการส่งเสริมและการสนับสนุนการผลิตเหล็กขั้นต้น ตามที่บริษัท เครือสหวิริยาฯ อ้าง จะตอบสนองความต้องการใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศระยะยาว ลดปริมาณการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยในภาพรวม

แต่เมื่อสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในบริบทโลก และปัจจัยภายในประเทศ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  การลงทุนทำให้มีการใช้ทรัพยากรเพื่อสนองตอบ ต่อความต้องการในการพัฒนา จึงส่งผลกระทบต่อสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาสภาพพื้นที่พรุแม่รำพึงตามรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการสำรวจสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทพรุของประเทศไทย จัดทำโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเสนอต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว การที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้พรุแม่รำพึง เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเสนอ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการทบทวนมติ ของคณะรัฐมนตรีวันที่ 1 ส.ค. 53 เรื่องขึ้นทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทยและมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวน 17 มาตรการ มาตรการดังกล่าวได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักและหน่วยงานสนับสนุน ซึ่งเป็นการจัดให้มีแผนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นระบบและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลตามที่รัฐธรรมนูญ 50 บัญญัติไว้

ส่วนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ บริษัทเครือสหวิริยา คือมาตรการที่กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการพัฒนาใดๆ ที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ ซึ่งโครงการโรงถลุงเหล็กสหวิริยา มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 100 ตันต่อวัน  ต้องมีการทำรายงานฯ ตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเดิม หรือ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดประเภทและขนาด ของโครงการ หรือ กิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์วิธีการระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 16 มิ.ย. 52 อยู่แล้ว 

โดยโรงถลุงเหล็กสหวิริยา เคยมีหนังสือถึงสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอทราบมาตรการอนุรักษ์เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการจัดทำรายงานฯ ให้ถูกต้อง แต่จากข้อเท็จจริงโรงงานถลุงเหล็ก ยังไม่มีความคืบหน้าในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จากข้อหารือดังกล่าว   ซึ่งมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบวันที่ 3 พ.ย.52 ไม่ได้เป็นมาตรการในการจำกัดสิทธิ์ หรือ สร้างภาระให้แก่บริษัทเครือสหวิริยา ในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเหล็กอย่างใด

แต่เป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำที่พอสมควรแก่เหตุแล้วยังเป็นการกำหนดและวางแผนการดำเนินการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาดตามวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว