เตรียมบริหารแรงงานต่างด้าวหลังโควิด

04 มิ.ย. 2563 | 11:20 น.

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานแจง ไทยคุ้มครองดูแลแรงงานต่างด้าวครอบคลุมทุกมิติ หลังโควิดจะบริการการเคลื่อนย้ายอย่างเป็นระบบ และไม่กระทบแรงงานไทย รองปลัดฯย้ำผลงานแก้ค้ามนุษย์ อันดับไทยในเวทีสากลขยับขึ้นต่อเนื่อง

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเวทีสานเสวนาหัวข้อ จากมือถึงมือ สู่นโยบายการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์ COVID - 19 และสถานการณ์ปัญหาค้ามนุษย์ด้านแรงงานในประเทศไทย แจงไทยคุ้มครองแรงงานต่างด้าวตามสิทธิทุกมิติ รวมถึงช่วงวิกฤตโควิด โดยหลังจากนี้จะบริการจัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ 

    

วันที่ 4 มิถุนายน 2563 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมการสานเสวนาในหัวข้อ “จากมือถึงมือ สู่นโยบายการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์ COVID - 19 และสถานการณ์ปัญหาค้ามนุษย์ด้านแรงงานในไทยยังคงมีปรากฎหรือไม่อย่างไร” ณ ศูนย์พักพิงงฟื้นฟูเยียวยาและฝึกอบรมผู้ประสบปัญหาด้านแรงงาน หรือ บ้าน LPN ถนนคลองบางหลวงไหว้พระ ตำบลคลองบางหลวง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ Thai PBS Plan International Thailand และมูลนิธิกระจกเงา 
    

ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักร จำนวน 2,589,353 คน  ซึ่งการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักสำคัญ 3 ประการ คือ ต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ต้องไม่กระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย เช่น ไม่แย่งอาชีพคนไทย ไม่นำโรคติดต่อร้ายแรงเข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 
  เตรียมบริหารแรงงานต่างด้าวหลังโควิด    

กระทรวงแรงงาน จึงได้มีการจัดระเบียบการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยนำเข้าเท่าที่จำเป็น และแรงงานต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยจะได้รับการคุ้มครองแรงงาน ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเป็นการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
    

สำหรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ได้แก่    ด้านต่างประเทศ ชะลอการอนุมัตินำเข้าแรงงานต่างด้าวทุกขั้นตอน ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ การผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อไปจนถึง 30 พ.ย. 2563 และผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง และได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานไทย ภายใต้ MOU ด้านแรงงานและแรงงานกัมพูชาและเมียนมา ที่ถือบัตรผ่านแดน โดยอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. - 31 ก.ค.2563 
    

ด้านป้องกันตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า – ออกเรือประมง (PIPO) ขอความร่วมมือสถานประกอบการทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ลูกจ้างและผู้ประกันตนในสถานประกอบการ เรื่องไวรัสโควิด - 19 และการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข สร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาลดผลกระทบ มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ มีกระบวนการคัดกรอง และการกักตัวเอง 14 วัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 
    

ด้านเยียวยาการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ลดหย่อนอัตราเงินสมทบและขยายกำหนดเวลายื่นแบบอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตน ส่วนภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย จะส่งเสริมการจ้างงานคนไทยให้เข้าสู่ระบบการจ้างงาน จัดทำข้อมูลความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศ และเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ
     เตรียมบริหารแรงงานต่างด้าวหลังโควิด

เตรียมบริหารแรงงานต่างด้าวหลังโควิด

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์ค้ามนุษย์ด้านแรงงานในประเทศไทยว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญ และพยายามแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ตลอดจนแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในภาคประมงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แรงงานทุกสัญชาติได้รับการดูแล คุ้มครอง ช่วยเหลือ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับสิทธิตามกฎหมายและมาตรฐานสากล จนทำให้สหภาพยุโรป (EU) ประกาศปลดใบเหลืองประมงให้กับประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดให้ไทยอยู่ในระดับ Tier 2 ติดต่อกัน 2 ปี และประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติ (UN SDGs) อันดับที่ 40 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีที่แล้ว และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ซึ่งเกิดจากความพยายามและความร่วมมือของทุกภาคส่วน 
    

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้า พัฒนากรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพื่อให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการรวมตัวและเจรจาต่อรอง ตลอดจนให้ความสำคัญกับการบูรณาการตรวจแรงงานในกิจการกลุ่มเสี่ยงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานทั้งระบบ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการปกป้องคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้หมดไปจากประเทศไทยอย่างยั่งยืน

เตรียมบริหารแรงงานต่างด้าวหลังโควิด