เปิดโผหุ้นน่าลงทุน รับ "บาทแข็ง-เงินไหลเข้า "

04 มิ.ย. 2563 | 07:13 น.

โบรกฯ เปิดหุ้นเด็ด รับธีม"บาทแข็งค่าและเงินไหลเข้า" บล.กสิกรไทย ชี้บาทแข็งค่าทุกๆ 1 บาท หนุนกำไรกลุ่มพลังงานโรงไฟฟ้าเพิ่ม 2-15% เลือกบลูชิพดักทุนนอกไหล TOP, BBL, INTUCH, SCB, IVL, EGCO, ฯลฯ ด้านบล.ทิสโก้ มองต่างชาติเข้าซื้อหวังเก็งศก.-กำไรบจ.ฟื้นครึ่งหลัง ชู 9 หุ้นเด็ด ADVANC , BDMS , CPALL , KBANK , PTTGC ฯลฯ

 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ ( 4 มิ.ย.63 ) ถึงค่าเงินบาทว่า มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลงและการกลับมาเปิดเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง ดัชนีเงินดอลลาร์ฯ ปรับลดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เพราะแง่มุมเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้นำไปสู่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้น กอปรกับประเด็นการประท้วงในสหรัฐฯที่อาจทำให้ขาดดุลการคลังมากยิ่งขึ้นจากการทำนโยบายประชานิยม โดยสหรัฐฯ อาจขาดดุลงบประมาณมากถึง 4 ล้านล้นดอลลาร์ฯ ในปี 2563 ซึ่งเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทางด้านดัชนีเงินดอลลาร์ฯที่อิงระบบตะกร้าสกุลเงิน ได้ปรับตัวลดลง 5% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2563 แต่ยังยืนเหนือระดับ 96 ในช่วงสิ้นปี 2562 อยู่ 1.5% คาดว่าเงินบาทจะแข็งค่ายิ่งขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้

การกลับมาเปิดเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง จะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย ขณะที่คาดการณ์ว่าไทยจะกลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวในไตรมาส4/2563 และช่วยกระตุ้นรายได้ภาคบริการขึ้น(หลักๆ มาจากกลุ่มการท่องเที่ยว) ที่คิดเป็น 30% ของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ 3.78 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2562 เราคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยหนุนเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น

 

เปิดโผหุ้นน่าลงทุน รับ "บาทแข็ง-เงินไหลเข้า "

 

ทั้งนี้ เงินบาทได้อ่อนค่าลง 5.2%  ตั้งแต่ต้นปี 63 เป็นต้นมาซึ่งอ่อนค่ากว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ (อ่านเพิ่ม :ตารางบน ) ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกปัจจัยที่อาจทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นคือกระแสเงินลงทุนขาเข้า ซึ่งในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาเราเห็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย จำนวน 9 พันล้านบาทและ 1.6 พันล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 1.90 แสนล้านบาท และ 1.22 แสนล้านบาทจากดันปีตามลำดับ

 

หุ้นพลังงานและโรงไฟฟ้า-สายการบิน ได้อานิสงส์

กลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หลักๆ จากการแข็งค่าของเงินบาทคือกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า และสายการบิน เราได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยอ่อนไหว (sensitivity analysis) ถึงผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาทที่จะมีต่อกำไรของกลุ่มบริษัท โดยพบว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์หลักๆ คือกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า และสายการบิน  ส่วนกลุ่มที่จะเสียผลประโยชน์คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหาร 

สาเหตุที่กลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้าจะได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท  ก็เพราะว่ามีสัดส่วนหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ที่สูง ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะนำไปสู่กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ฯ จะทำให้ประมาณการกำไรทั้งปี 2563 ของกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น 2-15% ขณะที่กลุ่มสายการบินจะได้ประโยชน์จากค่าเชื้อเพลิงเครื่องบินในรูปเงินบาทที่ลดลง และจากการที่กลุ่มสายการบินมีกำไรที่ต่ำอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะช่วยหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้น 80-100% จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์ฯ 

ทางด้านหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหารนั้น คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เพราะมีรายได้สุทธิในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ในสัดส่วนที่สูง โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ฯ จะทำให้ประมาณการกำไรปี 2563 สำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE และ SVI) และกลุ่มผู้ส่งออกอาหาร (TU และSAPPE) ปรับลดลง 7-18%

บล.กสิกรไทย ระบุอีกว่าสัดส่วนการถือครองในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดที่ 37% ในปี 2555 มาอยู่ที่ 27.6% ณ วันที่ 1 มิ.ย. 2563 สืบเนื่องจากภาพเชิงลบของเศรษฐกิจไทย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 1 ปี ที่ 29.3% เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิหุ้นไทย 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2562 และ 1.90 แสนล้านบาท ในปี 2563 สืบเนื่องจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปี 2562 และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 

เปิดโผหุ้นน่าลงทุน รับ "บาทแข็ง-เงินไหลเข้า "

ทั้งนี้เชื่อว่าแนวโน้มเงินบาทจะพลิกมาแข็งค่าขึ้นและภาพรวมกำไรที่ดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2563 จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับสู่ตลาดหุ้นไทยได้ โดยคาดว่าหุ้น blue chip ที่ต่างชาติยังมีสถานะถือครองไม่สูง (อ่านเพิ่มตาราง : สัดส่วนต่างชาติที่ถือในหุ้นไทยปัจจุบัน ) และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของพวกเขา ซึ่งรวมถึง TOP, BBL, INTUCH, SCB, IVL, EGCO, SCC,PTT, PTTEP, MINT, CPALL และ AOT

บล.ทิสโก้ ชี้ต่างชาติเข้า เก็งศก.-กำไรบจ.ฟื้นครึ่งปีหลัง 

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนี้ (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 3 วันติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2563 รวมกว่า 8,900 ล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

สำหรับสาเหตุที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคนี้อีกครั้ง มองว่าเป็นผลจากนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางหลักในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมาแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (Search for Yield)

 

ฟันด์โฟลว์หนุนดัชนีมีโอกาสแตะ 1,400 จุด

“เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า หรือไหลออก ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลง ราว 29 จุด เพราะฉะนั้นหากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ารอบนี้มีความต่อเนื่อง คาดจะผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,390-1,400 จุดได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการปิดช่อง (GAP) ทางเทคนิคอีก 1 GAP อย่างไรก็ดี ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก โดยมองว่าโอกาสการปรับขึ้นหลังจากนี้น่าจะมีจำกัดแล้ว จากระดับการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก โดยระดับดัชนีปัจจุบันเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ บล.ทิสโก้ประเมินว่าจะดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,420 จุด และหากใช้วิธีคำนวณเป้าหมายโดย Bottom-up จะได้เป้าหมายดัชนีปลายปี 2563 ที่ 1,433 จุด” นายอภิชาติกล่าว 

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ มองควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับหุ้นที่อยู่ใน SET100 และ MSCI Global Standard Index 2. เป็นหุ้นที่ต่างชาติลดการถือครองลงในปีนี้ (Under-owed) เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญเพิ่งเริ่มมีสัญญาณบวกจากแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญสัปดาห์นี้ และ 3. ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน

 

เปิดโผ 9 หุ้นเด็ด

จากการพิจารณาหุ้นตามเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น มองหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ คือ SET50 แนะนำ ADVANC (คำแนะนำ “ซื้อ”, เป้าพื้นฐาน 208 บาท), BDMS (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 25 บาท), CPALL (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 86 บาท), KBANK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 118 บาท), PTTGC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 55 บาท), SCB (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 96 บาท) และ SCC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 372 บาท) และ SET100 แนะนำ CK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 23.8 บาท), STEC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 22 บาท)