นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในฐานะประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่เขตพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ระยะที่ 2 ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่ อีอีซี โดยศึกษาโครงการที่มีความจำเป็นและส่งผลต่อพื้นที่อีอีซีโดยตรง เบื้องต้นสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้เสนอโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางราง น้ำ อากาศ จำนวน 106 โครงการ วงเงิน 2.52 แสนล้านบาท ซึ่งถูกพัฒนาในพื้นที่อีอีซี เฟส 2 (ปี 2565-2570) ทั้งนี้มีบางโครงการที่ใกล้หมดระเวลาพัฒนาในเฟส 1 ซึ่งจะถูกจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในเฟส 2 ต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้สั่ง สนข.กลับไปทบทวนจัดทำแผนดังกล่าว เพื่อดำเนินการต่อเนื่องในระยะที่ 2 รวมถึงสำรวจความคิดเห็นภาคเอกชน เพื่อนำมาเสนอกระทรวงคมนาคม ภายในเดือน ก.ค. นี้ หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมนโยบายเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) ต่อไป
“สำหรับแนวทางแผนดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย 1.การนำโครงการในระยะที่ 1 มาพัฒนาต่อเนื่อง 2.โครงการที่ตอบโจทย์ได้เป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง รถไฟความเร็วสูง หากโครงการใดที่ไม่ตอบโจทย์ต่อพื้นที่อีอีซี จะถูกตัดออก เพื่อพัฒนาแผนบูรณาการโลจิสติกส์ 3.ออกแบบบริหารจัดการด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟทางคู่ที่เชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบังจำเป็นต้องมีระบบเทคโนโลยีแบบ E-Logistic โดยใช้มาตรการส่งเสริมการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางรางและทางน้ำเป็นหลัก”
ทั้งนี้โครงการที่มีแนวโน้มถูกตัดออกในแผนการลงทุนระยะที่ 2 เช่น โครงการสร้างทางยกระดับของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการสร้างทางเลี่ยงเมืองแล้ว โครงการขุดลอกแม่น้ำบางปะกง-เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ของกรมเจ้าท่า (จท.) เนื่องจากเป็นโครงการที่สนับสนุนขนส่งสินค้าเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สนับสนุนพื้นที่อีอีซีโดยตรง จะถูกจัดอยู่ในแผนบูรณาการโลจิสติกส์แทน ส่วนโครงการที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาพื้นที่อีอีซี เฟส 2 เช่น โครงการรถไฟทางคู่เข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมที่เชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงโครงการระบบขนส่งรถไฟรางเบา (แทรมป์พัทยา) เพื่อเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี