หุ้นกลุ่มโรงแรมคึกคัก รับ “ไทยเที่ยวไทย”

31 พ.ค. 2563 | 07:45 น.

หุ้นกลุ่มโรงแรมตอบรับคึกคัก หลังสศช.แย้มรัฐบาลอาจจะมีโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” หนุนการท่องเที่ยวในประเทศ โบรกมีมุมมองเป็นบวกทั้งกลุ่ม รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการ คาดจะทยอยฟื้นตัวขึ้นในอนาคต

หุ้นกลุ่มโรงแรมเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาจากดัชนีของกลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) พบว่าลดลงไปติดลบมากถึง 40% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แม้จะยังไม่หมดไปเสียทีเดียว แต่การดำเนินชีวิตประจำวันและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องเริ่มดำเนินต่อ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ของไทย ซึ่งล่าสุดนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลอาจจะมีโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ

โดยจะมีการใช้เงินภายใต้กรอบเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ในพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท  มาจัดทำแพ็กเกจการท่องเที่ยว “ไทยเที่ยวไทย” หรือ แจกส่วนลดค่าที่พักให้ประมาณ 50-60% เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มผู้มีรายได้นำเงินออกไปใช้จ่ายและไปท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ

รายงานข่าวจากตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม อย่างบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL), บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ปรับเพิ่มขึ้นคึกคักหลังมีความคาดหวังจากโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เฟส 3 ที่สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 

หุ้นกลุ่มโรงแรมคึกคัก รับ “ไทยเที่ยวไทย”

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด ระบุว่า 1 ในโครงการที่ภาครัฐเตรียมผลักดันให้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ คือ การออกมาตรการกระตุ้น การท่องเที่ยว ผ่านมาตรการไทยเที่ยวไทย โดยที่ภาครัฐจะจัดทำแพ็คเกจการท่องเที่ยว หรือ แจกส่วนลดค่าที่พักให้ประมาณ 50-60% เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มผู้มีรายได้นำเงินออกไปใช้จ่ายและไปท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งนี้ หากเป็นจริงจะเป็นบวกต่อการลงทุน รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะทยอยฟื้นตัวขึ้นในอนาคต

ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศ ไทย) จำกัด ระบุว่า ปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มโรงแรม ได้แก่ ประเทศไทยอาจมีการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์รวมถึงจัดโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่รัฐบาลอาจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ในประเทศไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นกลุ่มแรกที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่โควิด-19 ระบาด โดยคาดว่า CENTEL และ ERW จะได้อานิสงส์จากกลุ่มนี้ และหนุนให้ผลการดำเนินงานทยอยฟื้นตัวขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม แนะนำ ซื้อ CENTEL เนื่องจากความเสี่ยงทางการเงินตํ่าที่สุดในกลุ่ม โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในไตรมาสแรก ปี 2563 อยู่ที่ 0.7 เท่า และธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า และยังได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ภายในประเทศ ด้าน ERW แนะนำ ถือ ซึ่งมีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้ในฐานะที่เป็น pure play ขณะที่ สัดส่วน D/E ของ ERW ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 1.8 เท่า ในไตรมาสแรก ปี 2563

สำหรับ MINT แนะนำ ขาย โดยมีมุมมองเชิงระมัดระวังต่อ MINT จาก fully dilution ที่ 18% ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นในระยะกลาง และรายได้ จากธุรกิจโรงแรมกระจุกตัวอยู่ในยุโรปมากกว่า 60% จะเป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวช้ากว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อความสำเร็จในการเพิ่มทุน และการออกพันธบัตรแบบไม่กำหนดอายุ (perpetual bond) ในไตรมาส 3 ปี 2563

บล.บัวหลวง แนะนำ ซื้อ MINT โดยมองว่าการที่บริษัทประกาศเพิ่มทุนนั้น ทำให้งบดุลของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และมีสภาพคล่องพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินสดประมาณ 10,000 ล้านบาท จาก RO และอีก 10,000 ล้านบาท จากการขาย Perp นอกจากนี้ ยังประกาศแผนการลงทุนใหม่แบบระมัดระวัง ปรับลดเงินลงทุนลงถึงครึ่งหนึ่งเป็น 7,000- 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ความกังวลของตลาดในด้านสภาพคล่อง
จบสิ้นลง

หน้า 14  ฉบับที่ 3,579 วันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563