มาตรการล็อกดาวน์ ฉุดยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 4 เดือนแรกร่วง 11.7%

30 พ.ค. 2563 | 03:17 น.

กรมธุรกิจพลังงานเผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 4 เดือนแรกร่วง 11.7% เหตุมาตรการล็อกดาวน์กระทบความต้องการใช้ลดลง

รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรอบ 4 เดือน ของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวัน รอบ 4 เดือน ของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ลดลง 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเบนซิน ลดลง 8.1% กลุ่มดีเซล ลดลง 4.8% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ลดลง 33.7% น้ำมันเตา ลดลง 26.3% น้ำมันก๊าด ลดลง 14.3% LPG ลดลง 13.6% และ NGV ลดลง 23.8% โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 จึงทำให้ประเทศไทยต้องประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.63 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด โดยมีมาตรการ Lock down ทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29.47 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 8.1% โดยกลุ่มแก๊สโซฮอล์มีปริมาณการใช้ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 28.69 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น  7.6% ขณะที่น้ำมันเบนซินมีการใช้ลดลงเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 0.78 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 22.5%          

สำหรับภาพรวมการใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ พบว่า แก๊สโซฮอล์ อี85 มีปริมาณการใช้ลดลงมากที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 0.97 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น อัตราลดลง 24.7% รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ 91 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 8.16 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง  15.5% ถัดมาเป็นแก๊สโซฮอล์อี 20 มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 6.03 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 5.9% ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณการใช้ลดลงน้อยที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 13.53 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 1.2% เนื่องจาก แก๊สโซฮอล์ 95 มีราคาใกล้เคียงกับแก๊สโซฮอล์ 91 โดยมีส่วนต่างเพียง 0.27 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้น้ำมันชนิดที่มีค่าออกเทนสูงกว่า

การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 66.16 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 4.8% โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา บี7 มีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 48.80 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 25.8% น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 8.40 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.62) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.93 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่เดือนก.ค.61) โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วดังกล่าวอยู่ในช่วงการดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐที่ใช้มาตรการราคากำหนดให้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 13.80 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน คิดเป็น 33.7% เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างมาก อีกทั้งสายการบินประกาศหยุดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค.63 รวมถึงสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ประกาศห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.63 เป็นต้นไป เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงส่งผลให้ความต้องการใช้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

การใช้ LPG เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 15.65 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 13.6% โดยปริมาณการใช้ ภาคขนส่งลดลงมากที่สุด มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 2.12 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 27.9% รองลงมาเป็นภาคปิโตรเคมี มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 6.28 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 16.6% ถัดมาเป็นภาคครัวเรือนมีปริมาณการใช้ลดลงอยู่ที่ 5.51 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 5.2% และภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้ลดลงอยู่ที่ 1.73 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 4.5%
         

 การใช้ NGV เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.31 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 23.8% เนื่องจากนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ทำให้ประชาชนและรถโดยสารหันไปใช้ดีเซลหมุนเร็วบี 20 ทดแทน อีกทั้งภาครัฐมีนโยบายการปรับราคาขายปลีก NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปเพื่อสะท้อนต้นทุนจึงทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดถูกลง ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือดีเซลหมุนเร็วแทน

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มีปริมาณรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 979,427 บาร์เรล/วัน คิดเป็น 7.6% โดยมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 947,032 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 3.5% คิดเป็นมูลค่า 48,608 ล้านบาท/เดือน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และการ Lock down อย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องลดปริมาณ การนำเข้าน้ำมันดิบเข้ากลั่นลง สำหรับน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยานและก๊าด และ LPG โดยมีปริมาณนำเข้าลดลงอยู่ที่ 32,395 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 58.9% คิดเป็นมูลค่า 1,661 ล้านบาท/เดือน

การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยานและก๊าด และ LPG โดยมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 186,432 บาร์เรล/วัน คิดเป็น  5.5% คิดเป็นมูลค่า 9,244 ล้านบาท/เดือน