บลจ. ภัทร ขาย SSF รวดเดียว 8 กองทุน

27 พ.ค. 2563 | 07:49 น.

บลจ. ภัทร เปิดขายหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (SSF) เพิ่มเติมอีก 8 กองทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อ  10 มีนาคม 2563 มีมติให้ประชาชนทั่วไป ที่ซื้อหน่วยลงทุน กองทุนเพื่อการออม (SSF ) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท

โดยแยกจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมใน กองทุนเพื่อการเกษียณ ทั้งหมด โดยต้องซื้อระหว่างวันที่ 1 เมษายน- 30 มิถุนายน 2563 และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด(บลจ.ภัทร) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุน SSF เพิ่มเติมอีก 8 กองทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2563 ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากที่ได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมของกองทุนเปิดภัทร   สตราทิจิค แอสเซ็ท อโลเคชั่น (PHATRA SG-AA-SSF) ไปแล้ว

บลจ. ภัทร ขาย SSF รวดเดียว 8 กองทุน

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ครอบคลุมนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกผสมผสานจัดพอร์ตการลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความเหมาะสมของผู้ลงทุน โดยกองทุน SSF ทั้ง 9 กองทุนจะแบ่งชนิดหน่วยลงทุน (Class) จากกองทุนรวมที่มีในปัจจุบันของ บลจ.ภัทร ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สินประกอบด้วย

1.กองทุนรวมตลาดเงิน (ความเสี่ยงต่ำ) : ได้แก่ กองทุน PHATRA MP-SSF เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยระยะสั้นและเงินฝาก

2.กองทุนตราสารหนี้ (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) : ได้แก่ กองทุน PHATRA ACT FIXED-SSF เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก(Active Management)

3.กองทุนผสม (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) : บลจ.ภัทร มีกองทุนผสมที่กระจายการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตลอดจนทรัพย์สินทางเลือก เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทองคำ และน้ำมัน

บลจ. ภัทร ขาย SSF รวดเดียว 8 กองทุน

โดยมีให้เลือก 3 กองทุน ซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงโดยลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไล่เรียงตามระดับความเสี่ยงคือ (1) กองทุน PHATRA SG-AA Light-SSF (2) กองทุน PHATRA SG-AA-SSF และ(3) กองทุน PHATRA SG-AA Extra-SSF

4.กองทุนตราสารทุน (ความเสี่ยงสูง) : สำหรับกองทุนตราสารทุนในประเทศ มีให้เลือก 2 กองทุน คือ (1)กองทุน PHATRA ACT EQ-SSF ลงทุนในตราสารทุนที่มีปัจจัยพื้นดี และมีแนวโน้มในการเจริญเติบโตสูง  และ (2) กองทุน PHATRA SET50 ESG-SSF เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50

นอกจากนี้ ยังมีกองทุนตราสารทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน PHATRA PGE-SSF ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก คือ iShares MSCI ACWI ETF ที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI ACWI

5.กองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (ความเสี่ยงสูงมาก) : ได้แก่ กองทุน PHATRA PROP-D-SSF ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector) ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management

“ภาวะตลาดการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศช่วงนี้ การฟื้นตัวดีที่ขึ้น จากที่หลายประเทศเริ่มควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มากขึ้นและทยอยเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่เรามองว่า ตลาดการลงทุนทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปียังคงมีความผันผวนสูง จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะมียารักษาหรือวัคซีนไวรัสโควิด-19”

 อย่างไรก็ตาม  มาตรการทางการเงินและการคลังที่รัฐบาลและธนาคารกลางของหลายประเทศประกาศใช้ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยให้มีสภาพคล่องเพิ่มในระบบจำนวนมหาศาล  นับเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนโดยรวม

“การลงทุนในกองทุนรวม SSF จะช่วยสร้างวินัยการลงทุนในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน ซึ่งกำหนดการถือหน่วยลงทุนเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว และเรามองว่า การกระจายการลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลาย เป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น จึงเสนอหน่วยลงทุน ที่ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน เพื่อให้สามารถเลือกผสมผสานจัดพอร์ตการลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้”