นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดย นายวิษณุ เครืองาน รองนายกรัฐมนตรีได้รายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำหรับการแก้ไขปัญหาฟื้นฟูบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ขณะนี้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นสภาวะการเป็นรัฐวิสาหกิจ (รสก.)แล้ว เนื่องจากที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการลดสัดส่วนหุ้นต่ำกว่า 50% ส่งผลให้ไม่มีหน่วยงานใดๆของรัฐเข้าไปกำกับดูแลได้ตามกฎหมาย ขณะเดียวกันเป็นเรื่องของบริษัทการบินไทยที่ต้องเดินหน้าในรูปแบบบริษัทมหาชน ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะมีอำนาจในการตัดสินใจและอนุมัติในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการบินไทย เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สำหรับมติครม.ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ บินไทย ถือว่าดำเนินการแล้วเสร็จ เนื่องจากในช่วงที่การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ ทางกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้จัดเตรียมทำแผนฟื้นฟูฯ ส่วนขั้นตอนดำเนินการยื่นแผนฟื้นฟูฯ จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการบินไทยเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีอนุมัติ แต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อติดตามและประสานงานเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ บินไทย ถึงแม้การบินไทยจะพ้นสภาวะการเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่เจตนารมณ์ของรัฐต้องการฟื้นฟูการบินไทย
อ่านข่าว สหภาพฯ "การบินไทย” โวย คลัง หลัง "การบินไทย" พ้น รสก.
“เราได้เห็นตัวชี้วัดแล้วว่าหลังจากการบินไทยพ้นรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอเข้าครม. หรือเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) พิจารณา ขณะเดียวกันการบินไทยถือเป็นบริษัทมหาชนแล้ว ทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ หลังจากนั้นเขาต้องไปดูว่าใครจะมาทำหน้าที่จัดทำแผนฟื้นฟูฯ และเป็นผู้บริหารของบริษัทฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการยื่นแผนฟื้นฟูต่อศาล แล้วศาลรับพิจารณาอย่างไร ขณะเดียวกันการยื่นแผนในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแผนนั้นจะสมบูรณ์หรืออาจจะต้องปรับปรุง เพราะทั้งหมดจะต้องมีกระบวนการไต่สวนจากศาล โดยมีเรื่องเจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งต้องดูว่าเขายอมรับหรือไม่ หากยอมรับสามารถดำเนินการแต่งตั้งผู้บริหารได้ แต่ในกรณีที่ไม่ยอมรับต้องโหวตในกลุ่มเจ้าหนี้จะดำเนินการอย่างไร”
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรีได้สั่งการกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า กรณีสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ควรเตรียมมาตรการรองรับการเปิดภายในประเทศและระหว่างประเทศว่าจะดำเนินการอย่างไร เบื้องต้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินการบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) รายประเทศ ซึ่งมีกระบวนการการตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น กรณีที่ประเทศไทยมีการเซ็นสัญญากับประเทศหนึ่ง เราต้องส่งคนของเราไปตรวจสแกนที่ประเทศนั้นๆ ขณะเดียวกันประเทศนั้นๆต้องส่งคนมาตรวจสแกนที่ประเทศเราเช่นกัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสถานทูต แทนที่จะยื่นเรื่องแค่วีซ่า หรือพาสปอต ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการในประเทศที่มีสถานการณ์เศรษฐกิจดี โดยอยู่ในมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) และคงต้องรอจนกว่าจะมีวัคซีนที่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19