“ฮ่องกง” ปะทะเดือดต้านจีนออก "กม.ความมั่นคง"

24 พ.ค. 2563 | 11:56 น.

“ฮ่องกง” ต้านจีนออก "กม.ความมั่นคง"เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐบาลปักกิ่งผลักดัน "กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจาก

เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ว่าชาวฮ่องกงจำนวนมากเดินขบวนไปตามท้องถนนในย่านธุรกิจหลายแห่ง เมื่อวันอาทิตย์ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการที่รัฐบาลปักกิ่งเตรียมผลักดัน "กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ" สอดคคล้องกับเนื้อหาในมาตรา 23 ของเบสิกลอว์ ซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง ว่าคณะผู้บริหารต้อง "ใช้อำนาจอันชอบธรรม เพื่อป้องกันพฤติการณ์กบฏ การแบ่งแยก การปลุกระดม และการโค่นล้ม" ที่เป็นภัยคุกคามต่อแผ่นดินใหญ่

“ฮ่องกง” ปะทะเดือดต้านจีนออก "กม.ความมั่นคง"

นายโจชัว หว่อง นักกิจกรรมการเมืองชื่อดังของฮ่องกงซึ่งยังคงเป็นแกนนำเคลื่อนไหวครั้งนี้ กล่าวว่าแม้ฮ่องกงและทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ตอกย้ำความจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวฮ่องกงต้องรวมตัวกัน เพื่อแสดงจุดยืนของการต่อต้านกฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลปักกิ่ง "ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ"  ของหลักการหนึ่งประเทศ สองระบบ หากชาวฮ่องกงไม่แสดงพลังตอนนี้ อาจไม่เหลือโอกาสอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายความมั่นคงของฮ่องกงเตือนว่า มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคยังคงมีผลบังคับใช้ หนึ่งในั้นข้อห้ามคือการไม่อนุญาตให้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มเกิน 8 คนในสถานที่สาธารณะ ตำรวจฮ่องกงซึ่งส่วนใหญ่สวมชุดป่องกันเต็มยศตั้งด่านสกัดเป็นระยะ เพื่อตรวจค้นผู้ชุมนุม

“ฮ่องกง” ปะทะเดือดต้านจีนออก "กม.ความมั่นคง"

 

ขณะที่มีรายงานผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเดินทางไปประท้วงที่หน้าสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊า ( เอชเคเอ็มเอโอ ) และเจ้าหน้าที่เริ่มยิ่งแก๊สน้ำตาในย่านเซ็นทรัล และคอสเวย์เบย์ เพื่อกดดันให้ผู้ประท้วงสลายการชุมนุม และมีรายงานการจับกุมแกนนำบางคนด้วย

ด้านนายแมทธิว จาง เลขาธิการคณะผู้บริหารฮ่องกง กล่าวว่าการชุมนุมครั้งนี้ยังคงเป็นการรวมตัวอย่างผิดกฎหมายของกลุ่มหัวรุนแรง และเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกฝ่าย ว่าจะซ้ำรอบการประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อกลางปีที่แล้ว ส่วนรัฐบาลปักกิ่งยังไม่แสดงท่าทีมากนัก นอกเหนือจากการกล่าวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น "กิจการภายในของจีน"

เครดิตภาพ : REUTERS, AFP