Uber เล็งย้ายสำนักงานใหญ่ จากสิงคโปร์ไปฮ่องกง หลังผลประกอบการโตกว่า 70%

22 พ.ค. 2563 | 10:36 น.

Uber แอพพลิเคชั่นเรียกใช้บริการรถยอดนิยม กำลังพิจารณาย้ายสำนักงานใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก จากสิงคโปร์ ไปฮ่องกงภายใน 12 เดือน หลังผลประกอบการไตรมาสแรกในฮ่องกงโตกว่า 70%

ในปี 2562 บริษัท Uber ได้รวมกลุ่มบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกับกับ Grab และได้เปิดสำนักงานดำเนินกิจการในสิงคโปร์เพื่อบริหารกิจการในเขตเอเชียแปซิฟิกทั้ง 9 เมืองใหญ่ อาทิ ออสเตรเลีย, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน และฮ่องกง แต่ในสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบให้ธุรกิจจำนวนมากต้องประสบปัญหาการขาดแคลนรายได้ ตลอดจนหลายบริษัทต้องปิดตัวลง ทำให้บริษัท Uber ที่ก่อตั้งในสหรัฐฯกำลังพิจารณาวางแผนย้ายสำนักงานจากสิงคโปร์ไปฮ่องกงภายใน 12 เดือนนี้แม้บริษัทจะมีความไม่มั่นใจในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการประท้วงในฮ่องกง

 

การดำเนินธุรกิจในฮ่องกงก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีจำนวนลูกค้าที่ต้องการใช้บริการสูงทั้งนี้ บริษัท Uber ได้แถลงว่าตั้งแต่มีการดำเนินกิจการในฮ่องกงบริษัท Uber สร้างผลกำไรจากตลาดฮ่องกงมาโดยตลอด 6 ปี ซึ่งจากข้อมูลผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 แสดงให้เห็นว่าธุรกิจในฮ่องกงกำลังมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับผลประกอบการก่อนสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ในขณะที่ผลประกอบการโดยรวมทั่วโลกของบริษัทลดลงร้อยละ 80 ในเดือนเมษายน 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประกาศอีกว่าบริษัทมีแผนปลดพนักงานลง 3,000 คนทั่วโลก และจะยุติการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการให้บริการขับรถรับส่ง และธุรกิจการส่งสินค้าถึงบ้าน

Uber เล็งย้ายสำนักงานใหญ่ จากสิงคโปร์ไปฮ่องกง หลังผลประกอบการโตกว่า 70%

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเดือน มีนาคม 2563 นาย Estyn Chung ผู้จัดการทั่วไปของ Uber ฮ่องกงได้เขียนบทความถึงนัก ลงทุนในฮ่องกงว่า บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนในฮ่องกง แต่ยังมีข้อจำกัดในกฎหมายของการขนส่งในฮ่องกงที่ยังไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเดินทางร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทถูกต่อต้านจากอุตสาหกรรมรถแท็กซี่ในฮ่องกงโดยอ้างว่าผู้โดยสารที่ต้องจ่ายเงินเพื่อใช้บริการ ผู้ขับขี่ที่ให้บริการต้องมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

อย่างไรก็ดีนาย Francis Fong Po-kiu ประธานกิตติมศักดิ์ของสหพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศฮ่องกง (Hong Kong Information Technology Federation) ได้กล่าวสนับสนุนการให้บริการของ Uber ว่ารัฐบาลควรปลดล็อก กฎหมายการให้บริการรถร่วม เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของฮ่องกง ซึ่ง รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้นวัตกรรมใหม่ โดยการกำหนดข้อจำกัดที่เหมาะสมตลอดจนการจัดเก็บภาษีสำหรับผู้ให้บริการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นทางออกสำหรับทุกฝ่าย และจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในฮ่องกง

Uber เล็งย้ายสำนักงานใหญ่ จากสิงคโปร์ไปฮ่องกง หลังผลประกอบการโตกว่า 70%

สำนักงานส่งเสริมการค่าในต่างประเทศ(สคต.) ณ ฮ่องกง ชี้ว่า 1. Uber เป็นแอพพลิเคชั่นให้บริการรับส่งผู้โดยสาร โดยผู้ให้บริการสามารถดำเนินการสมัครเพื่อเป็นผู้ขับขี่ และให้บริการผ่านการเรียกรถจากแอพพลิเคชั่น ซึ่งบริการดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมาก และเป็นการตอบโจทย์ในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถหารถแท็กซี่ได้จากท้องถนน รวมถึงผู้ใช้บริการสามารถทราบได้ว่าผู้ขับขี่เป็นใคร จึงมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เมื่อเทียบกับผู้ขับรถแท็กซี่ทั่วไปแล้ว ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในการให้บริการของ Uber มากกว่า

 

2. ข้อจำกัดของการให้บริการ Uber คือข้อกฎหมายที่ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ โดยหลายฝ่ายมองว่า ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นข้อกำหนดที่ล้าหลัง และขัดขวางต่อนวัตกรรมการให้บริการรูปแบบใหม่ในอนาคต ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป

 

3. การดำเนินการของรัฐบาลฮ่องกงเพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจรูปแบบใหม่อย่าง Uber ให้ดำเนินการในฮ่องกง จะเป็นแบบแผนที่ดีต่อการจัดการธุรกิจที่มีนวัตกรรมในอนาคต ซึ่งจะมีคนจำนวนมากที่คิดก่อตั้งธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ ต่อไป