นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ เปิดเมือง ปลอดภัย ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด–19 ด้วยวิถีธุรกิจแบบใหม่ (นิวนอร์มอล)ว่า ในสัปดาห์หน้าหอการค้าเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นแก้ปัญหาการว่างงานในภาคธุรกิจด้วยการดึงบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิหอฯเข้ามาอยู่ในแอพฯและมีการจับคู่ระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกันหากบริษัทใดต้องการลดคนงานเพราะไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายก็จะให้บริษัทที่เป็นสมาชิกในแพลตฟอร์มที่ขาดแคลนแรงงานสามารถรับพนักงานที่ถูกปลดเข้ามาทำงานได้ทันที เนื่องจากข้อมูลแรงงานและศักยภาพของแรงงานที่ถูกเลิกจ้างครบถ้วนแล้ว
“แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นการทำแนวคิดมาจากสหรัฐซึ่งก็สามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและช่วยให้แรงงานที่ถูกเลิกจ้างสามารถทำงานต่อได้เป็นอย่างดี ดังนั้นทางหอการค้าจึงได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาในการทำแอพฯลักษณะดังกล่าวและมีสมาชิกทั้งที่เป็นบริษัทรายใหญ่ๆและเอสเอ็มอีของหอการค้าสนใจเข้าร่วมจำนวมาก ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ที่ถูกเลิกจ้างได้โดยสามารถทำงานต่อในอีกบริษัทได้ทันทีหากเจ้าของกิจการและแรงงานมีการตกลงเรื่องรายละเอียดและค่าจ้างกันได้ ซึ่งถือว่าเป็นมิติใหม่ที่จะสามารถนำมาใช้ในยุคนิวนอร์มอลได้”
ขณะนี้ทางหอการค้าไทยได้ขอความร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นสมาชิกให้มีการทำงานที่บ้านต่อไปอย่างต่ำ 50% ของพนักงานที่มีอยู่ ซึ่งได้รับรายงานว่าบางบริษัทสามารถปรับระบบให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ถึง 80-90% ของพนักงานทั้งหมดในบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือในการเว้นระยะห่างทางสังคมและเป็นการช่วยป้องกันการแพร่กระจายไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับหลายๆบริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีด้วย
สำหรับในส่วนของการคลายล็อกธุรกิจเฟสที่1-2 ที่ผ่านมาพบว่าการปฎิบัติตัวของธุรกิจและประชาชนเป็นที่น่าพอใจมากและส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือตามคู่มือเป็นอย่างดี ส่วนการพิจารณาเปิดธุรกจในเฟสที่ 3 นั้นคาดว่าในเร็ว ๆ นี้รัฐบาลจะเชิญหน่วยงานต่างๆและภาคเอกชนร่วมกันหารือเพื่อทำหนดมาตรการและในการรักษาความปลอดภัยก่อนที่จะมีการพิจารณาการคลายล็อกต่อไป โนในส่วนของการเปิดคลายล็อกในเฟสแรกนั้นจากการสำรวจพบว่าช่วง 1 เดือนมีเงินสะพัดในระดับหลักหมื่นล้านบาท
นายกลินท์ กล่าวอีกว่า ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบีได้ประเมินว่าการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจจะทำให้เกิดความสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 5.8-8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6.4-9.7% ของจีดีพีโลก ขณะที่ไทย คิดว่า 1-2 เดือนที่ผ่านมาจะมีคนตกงานประมาณ 7 ล้านคน และถ้าสถานการณ์ยาว 3-4 เดือนขึ้นไปอาจจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนแต่จากการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันแล้วทั้งมาตรการของรัฐและการร่วมมือกันของทุกฝ่ายเชื่อว่าการว่างงานคงไม่มากตามที่ประเมินกันไว้
นอกจากนี้เพื่อเป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมวิถีใหม่ ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคม ตลอดจนโมเดลธุรกิจและการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ จึงได้ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์ม "ไทยดอทแคร์" (Thai.care) เพื่อช่วยในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ใช้บริการ โดยพัฒนามาจากแนวคิด "คนไทยร่วมกันแคร์" ซึ่งเป็นการประสานพลัง 3 แคร์ ได้แก่ ร้านค้าแคร์ โดยจะสร้างเครือข่ายของร้านค้าที่มีความห่วงใย ใส่ใจในบริการที่ปลอดภัย ,ลูกค้าแคร์ จะเปิดช่องทางการสื่อสาร และรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงร้านค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว และ สังคมแคร์ คือสังคมที่มีความสุขและมีความเอื้ออาทรต่อกัน