”ศรีสวัสดิ์”เดินหน้าใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ ลั่นไม่กระทบผลการดำเนินงาน

18 พ.ค. 2563 | 11:02 น.

กลุ่มศรีสวัสดิ์ เดินหน้าใช้มาตรฐานบัญชชีใหม่ ลั่นไม่กระทบภาพรวมการดำเนินงาน แจงเอ็นพีแอลขยับขึ้นแตะ 4.9% เหตุจัดชั้นหนี้เข้มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการไตรมาสแรก กำไรเพิ่ม 26%

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAWAD เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานบัญชีใหม่ มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยได้ปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (TAS 32  TFRS 7 และ TFRS 9) และที่เกี่ยวกับสัญญาเช่า (TFRS 16)

”ศรีสวัสดิ์”เดินหน้าใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ ลั่นไม่กระทบผลการดำเนินงาน

นางสาวธิดากล่าวต่อว่า การนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท  โดยเฉพาะตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) หากบริษัทยังคงใช้มาตรฐานเดิม หนี้เอ็นพีแอลจะอยู่ที่ 3.82%  หากแต่ที่ขยับขึ้นมาแตะอยู่ที่ระดับ 4.9% เนื่องจากตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ TFRS 9  เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 2562 (มาตรฐานเดิม)เอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 3.96%

หากพิจารณาจะเห็นว่า เอ็นพีแอลยังอยู่ในระดับเดิม แต่เนื่องจาก TFRS 9 มีนโยบายการตัดหนี้สูญที่เข้มข้นกว่าเดิม โดยหนี้สูญจะตัดได้ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามตัวเลขเอ็นพีแอลระดับดังกล่าว บริษัทสามารถบริหารจัดการได้และเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับเอ็นพีแอลที่เคยใช้มาตรฐานเดิม 

“จริงๆแล้วคุณภาพลูกหนี้ของบริษัทเหมือนเดิม แต่เพราะมาตรฐานใหม่ที่มีการจัดชั้นหนี้เอ็นพีแอลที่เข้มงวดขึ้น เลยทำให้ตัวเลขเอ็นพีแอลสูงขึ้น แต่ก็ถือว่าขยับขึ้นไม่มาก เพราะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 62 ที่ใช้มาตรฐานเดิม”นางสาวธิดากล่าว    

ขณะที่ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลกำไรรวมสุทธิ 1,100.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 228.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.23%   เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 871.89 ล้านบาท โดยมีรายได้ดอกเบี้ย 2,085.47 ล้านบาท เทียบกับรายได้ดอกเบี้ยงวดเดียวกันของปีก่อน 1,657.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 427.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.81%

นางสาวธิดา กล่าวต่อว่า การที่รายได้ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้เพิ่มขึ้น 17.75%  จาก 34,145.51 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/2562 เป็น 40,206.99 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/2563 ซึ่งการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของกลุ่มบริษัท

กลุ่มศรีสวัสดิ์ ได้เริ่มนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี   ซึ่งไม่ได้กระทบภาพรวมผลประกอบการ ที่ผ่านมาเราได้เตรียมความพร้อมมาตลอด  ปฏิบัติทุกอย่างตามกรอบและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแล”นางสาวธิดากล่าว