นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติคงอัตราเงิน "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ไว้ดังเดิมตามมติ กบน.เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 63 ได้แก่ ลดอัตรากองทุนน้ำมันทุกชนิดลง 50 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้น E85 เก็บเพิ่ม 25 สตางค์ต่อลิตร B20 ลดเก็บ 25 สตางค์ต่อลิตรที่มีผล 2 เดือน 23 มี.ค.-22 พ.ค.ซึ่งที่ประชุมได้คงมาตรการดังกล่าวนี้ต่อไป จนกว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะเปลี่ยนไปจากสมมติฐานที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ การไม่เปลี่ยนแปลงอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯดังกล่าว ส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯส่วนของบัญชีน้ำมันจะติดลบประมาณเดือนละ 37 ล้านบาท โดยที่ประชุมพิจารณาราคาน้ำมันแล้วพบว่ายังคงไม่สูงมากนักเฉลี่ย 40-50 เหรียญฯต่อบาร์เรลดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพประชาชนในส่วนของราคาน้ำมัน กบน. จึงเห็นชอบคงอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ส่วนสถานการณ์แอลพีจี (LPG) นั้น พบว่าจากแนวโน้มราคาแอลพีจีตลาดโลก (CP)เดือนพฤษภาคมที่ขยับราคามาสู่ระดับ 450 เหรียญสหรัฐต่อตัน และมีแนวโน้มที่จะผันผวนอยู่ในระดับสูง ที่ประชุมจึงเห็นชอบขยายเพดานวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบัญชีแอลพีจีให้สามารถติดลบจากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 7 พันล้านบาทเป็นไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อที่จะใช้เป็นกลไกคงมาตรการดูแลราคาแอลพีจีให้กับประชาชนเพื่อลดค่าครองชีพในช่วงผลกระทบจากไวรัส "โควิด-19" (COVID-19)
นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนหน้านี้ กบน.ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือราคาแอลพีจีโดยลดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นลงจาก 17.1795 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 14.3758 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกแอลพีจีถัง 15 กิโลกรัม ลดลง 45 บาทต่อถังเหลือ 318 บาทเป็นเวลา 3 เดือนเริ่ม 23 มีนาคม -23 มิถุนายน โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันบัญชีแอลพีจีติดลบไม่เกิน 7 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้บัญชีแอลพีจี วันที่ 17 พฤษภาคม ติดลบ 6.182 พันล้านบาทแล้ว
ส่วนมาตรการที่จะครบวันที่ 23 มิถุนายนนี้ จะมีการพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรอีกครั้งหนึ่ง โดยจะพิจารณาจากสถานการณ์ราคาเป็นสำคัญ
“ปัจุบันเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิอยู่ที่ 3.517 หมื่นล้านบาท เป็นบัญชีน้ำมันฯ 4.135 หมื่นล้านบาท และประเภท LPG ติดลบ 6.182 พันล้านบาท”