“รัฐบาลบิ๊กตู่”สอบผ่านแก้วิกฤติโควิด-19

16 พ.ค. 2563 | 04:59 น.

สถาบันพระปกเกล้าเปิดโพลล์ประชาชนให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่”สอบผ่านแก้วิกฤติโควิด-19 เผยต้องการให้รัฐบาลดูแลเรื่องปากท้องควบคู่กับการดูแลสุขภาพ และยังไม่ต้องการให้ยกเลิก“เคอร์ฟิว”

 “รัฐบาลบิ๊กตู่”สอบผ่านแก้วิกฤติโควิด-19

 


วันนี้(16 พ.ค.63) สถาบันพระปกเกล้า เผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสำรวจใช้แบบสอบถามออนไลน์ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปและเป็นผู้ที่ใช้การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิคส์ระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม ถึง 13 พฤษภาคม 2563 จำนวน 1,338 คน มีรายละเอียดดังนี้


1. ด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จากสื่อโทรทัศน์ มากที่สุด (ร้อยละ 33.6) รองลงมาคือ ทาง Facebook (ร้อยละ 23.9) และ จากบุคลากรสาธารณสุข (ร้อยละ 15.7)


2. ด้านรูปแบบการทำงาน
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีการปรับเปลี่ยนวิธีทางานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยพบว่า ไปทำงานทั้งที่ทำงานและที่บ้านสลับกัน มากที่สุด (ร้อยละ 44.2) รองลงมา คือ ไปทำงานที่ทำงานทุกวัน (ร้อยละ 32.1) และ ทำงานที่บ้านทุกวัน (ร้อยละ 23.7)


3. ด้านสถานภาพการทำงาน รายได้ การออมเงิน และ สถานภาพเศรษฐกิจของครอบครัว

ด้านสถานภาพการทำงานและรายได้ : กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงทำงานเดิม และยังคงรับเงินเดือน/มีรายได้เท่าเดิม (ร้อยละ 64.7) รองลงมา คือ ยังคงทำงานเดิม แต่เงินเดือน/รายได้ลดลง (ร้อยละ 17.6) 

เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างที่ระบุว่า ต้องหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างและไม่มีรายได้กับกลุ่มที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้/ถูกเลิกจ้างและไม่มีรายได้ไปรวมแล้ว พบว่า มีผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านการทำงานและรายได้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถึงร้อยละ 27.1

ด้านการออมเงิน: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ยังออมเงินได้ตามปกติ

4. ด้านความไว้วางใจผู้นำในการแก้ไขปัญหา
เมื่อสอบถามว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นี้ ท่านไว้วางใจผู้ใดมากที่สุดเพื่อให้เข้ามาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ไว้วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นเข้ามาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา (ร้อยละ 86.4) โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนน้อย ระบุว่า ไว้วางใจนักการเมืองให้เข้ามาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา (ร้อยละ 4.3) ใครก็ได้ (ร้อยละ 2.7) นักวิชาการ (ร้อยละ 2.6) และ ข้าราชการ (ร้อยละ 2.2)

5. ด้านการบริจาคและช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 46.0 เห็นว่า แม้จะประสบปัญหาความยุ่งยากเดือดร้อนก็ยังมีความช่วยเหลือจากรัฐมาทันท่วงที ขณะที่ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 92.6 เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า เมื่อประสบปัญหาคนไทยก็ยังช่วยเหลือเอื้ออาทรกันและกัน ร้อยละ 87.5 ระบุว่า เมื่อประสบปัญหาพวกเขาก็มีความเข้มแข็งและเอาตัวรอดได้เสมอ


นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 76.1 ระบุว่า ในภาวะวิกฤติสามารถไว้วางใจคนในชุมชนของตนเองได้ว่า ยังมีความเอื้ออาทรกันและกัน ดูแลกันเป็นอย่างดี ขณะที่กว่าร้อยละ 50 ระบุว่า พวกเขาได้ บริจาค เงินสิ่งของให้กับโรงพยาบาล องค์กรการกุศล และบริจาคโดยตรง อีกทั้งยังเชิญชวนให้ผู้อื่นมาร่วมบริจาคด้วย และยังพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 3 ระบุว่า ตนไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม

6. เมื่อเกิดภาวะวิกฤต จะฝากอนาคตไว้กับใคร ?
กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 41.8 ระบุว่า สามารถฝากอนาคตไว้กับผู้นำประเทศได้ ร้อยละ 45.7 ระบุว่า ฝากอนาคตไว้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของตนเองได้ ร้อยละ 34.3 ระบุว่า ฝากอนาคตไว้กับผู้นำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ 

โดยยังพบอีกว่า เมื่อประสบปัญหา ประชาชนเชื่อว่าพวกเขาจะช่วยเหลือกันเองได้ ประชาชนไทยยังมีทัศนคติที่ดีต่อสังคมไทยคนไทยด้วยกันและยังคิดว่าคนไทยก็ยังมีความเอื้ออาทรช่วยเหลือกัน 
รวมทั้งยังมีแนวคิดเชิงบวกที่เชื่อว่าตัวเองก็สามารถที่จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยดี


7. ด้านการดำรงชีวิตกับสิทธิเสรีภาพ สำหรับทัศนคติในการดารงชีวิตภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 70 ระบุว่า ควรใช้การจัดการศึกษาแบบออนไลน์แทนการศึกษาในโรงเรียน ในขณะที่ ร้อยละ 89.4 ระบุว่า คนไทยต้องมีวินัยมากขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์ 

เมื่อสอบถามว่า ในภาวะวิกฤติที่มีการประกาศใช้พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทำให้ประชาชนต้องถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เห็นด้วย ถึงร้อยละ 80.8 (โดยจำแนกเป็น ผู้ที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 43 และ ผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 37.8)


8. การตัดสินใจในชีวิต
เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างเลือกระหว่าง “ปากท้องกับปัญหาสุขภาพในภาวะวิกฤตินี้คนไทยจะเลือกอะไร” พบว่า โดยภาพรวม ร้อยละ 61.4 ไม่เห็นด้วยว่า ปากท้องสำคัญมากกว่าสุขภาพ กล่าวคือ พวกเขาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่า (ร้อยละ 35.7 เห็นด้วยว่า ปากท้องสำคัญมากกว่าสุขภาพ และ ร้อยละ 2.9 ไม่ตอบ)

9. การยอมรับกันทางสังคม
เมื่อสอบถามว่า “ท่านจะยอมรับใครบ้างและยอมรับได้เพียงใดที่จะให้บุคคลกลุ่มต่าง ๆ มาเป็นเพื่อนบ้าน” พบว่า ร้อยละ 64.5 ยอมรับที่จะเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ป่วยโควิดได้ ร้อยละ 71.8 ยอมรับผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยงและอยู่ระหว่างการกักตัวดูอาการได้ ร้อยละ 92.2 ยอมรับผู้ที่หายป่วยจากโควิดได้ ในขณะที่ ร้อยละ 66.7 ยอมรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศได้ และ ร้อยละ 58.1 ยอมรับคนต่างชาติได้ 

ดังนั้น กล่าวโดยสรุปได้ว่ากลุ่มบุคคลที่คนไทยให้การยอมรับให้มาเป็นเพื่อนบ้านมากที่สุด คือ กลุ่มผู้หายป่วยจากโควิด รองลงมา คือ ผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยง ผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลับจากต่างประเทศ 

แต่ที่น่าสนใจคือมีประชาชน ยอมรับคนต่างชาติและผู้ป่วยโควิดน้อยกว่ากลุ่มอื่น และ ร้อยละ 20.9 ไม่ต้องการเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ป่วยโควิด และร้อยละ 19.2 ไม่ต้องการเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยง 

10. ความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล
ในการสอบถามความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลในการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ศึกษาได้ให้กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความพึงพอใจต่อรัฐบาล กำหนดคะแนน 0 ถึง 10 คะแนน 

ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่ง มีความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล โดยร้อยละ 64.9 ให้คะแนนความพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลในระหว่าง 6 ถึง 10 คะแนน ในขณะที่ ร้อยละ 10.6 ให้คะแนนรัฐบาล คาบเส้นหรือห้าคะแนน และ ร้อยละ 23.9 ให้คะแนนรัฐบาลน้อยกว่า 5 คะแนน ที่น่าสนใจ คือ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 6.3 ให้คะแนนความพอใจ 0 คะแนน ในขณะที่ ร้อยละ 9.8 มีคะแนนความพึงพอใจอยู่ที่ 10 คะแนน

11. ข้อเสนอแนะอื่นๆ เห็นได้ว่าการทำงานของรัฐในช่วงแรก มีความผิดพลาดหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องของหน้ากากอนามัย รวมทั้ง การทำงานที่ขาดฐานข้อมูลที่แน่นอน และขาดการนำองค์ความรู้มาใช้เท่าที่ควร 

แต่หลังจากนั้นประชาชนเห็นว่า รัฐบาลบริหารงานมาได้ถูกทางมากขึ้น และควรมีมาตรการควบคุมต่อไป และขอบคุณคนไทยที่เอื้อเฟื้อ ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำหรับประเทศไทยและไม่ควรประมาท 

กลุ่มตัวอย่างบางส่วน ระบุว่าได้เห็นความรักสามัคคีกันช่วยเหลือกัน และต้องการให้หน่วยงานสาธารณสุขจัดทพสื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และการใช้ชีวิตในช่วงมีวิกฤติ รวมทั้งต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังต้องการให้ชุมชนช่วยกันดูแลชุมชนของตนเอง และขอชมเชย ตลอดจนให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์

อย่างไรก็ตาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างบางส่วน ต้องการให้รัฐมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น และประชาชนที่ยากจนจริงๆ ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา หรือต้องการให้มีการประสานงานร่วมกันมากกว่านี้ ต้องการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้ง มีหน่วยงานแนะนำช่วยประชาชนในการเตรียมเก็บสำรองเงินสำหรับเผื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และยังไม่ต้องการให้ยกเลิกเคอร์ฟิว 

นอกจากนี้มีความต้องการให้มีการทำงานที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบผู้บริหาร ส่งเสริมประชาธิปไตย และต้องการให้รัฐบาลดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพของประชาชน