"MINT" อ่วมโควิด Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน

16 พ.ค. 2563 | 00:40 น.

MINT อ่วมโควิด Q1 ขาดทุน 1.7พันล้านบาท เน้นตุนสภาพคล่อง เลื่อนการลงทุนในสินทรัพย์ พร้อมทยอยกลับมาเปิดบริการในจีน เวียดนาม รับการฟื้นตัว

บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) “MINT” ประกาศผลประกอบการสำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและความท้าทายจากการระบาดของโรค โควิด-19

MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 1,774 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 เทียบกับผลกำไรจำนวน 583 ล้านบาทใน ไตรมาส 1 ปี 2562

"MINT" อ่วมโควิด  Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน

ทั้งนี้ จากการปิดเมืองและปิดประเทศทั่วโลก ส่งผลให้การท่องเที่ยวทั่วโลกชะลอตัวลงเป็นอย่างมากในเดือนมีนาคม 2563 และโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าทั่วโลกจำเป็นต้องปิดตัวลงชั่วคราว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งสามธุรกิจของบริษัท

โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่ในไตรมาส 1 ปี 2563 เป็นผลมาจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งไตรมาส 1 โดนกระทบจากช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวและมีโครงสร้างธุรกิจแบบเช่าบริหาร

"MINT" อ่วมโควิด  Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน MINT ให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องเป็นลำดับแรก โดยบริษัทมีเงินสดในมือจํานวน 2.2 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจํานวน 2.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน

อีกทั้ง ได้วงเงินเพิ่มขึ้นอีก 250 ล้านยูโรในเดือนพฤษภาคม เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต 

"MINT" อ่วมโควิด  Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน

ในขณะเดียวกัน MINT ได้มีมาตรการในการลดกระแสเงินสดจ่าย ซึ่งรวมถึงการจำกัดค่าใช้จ่าย การเลื่อนการลงทุนในสินทรัพย์และเงินลงทุนอื่นๆ ในทั้งสามหน่วยธุรกิจและในทุกภูมิภาค โดยมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ได้ทำแล้วและยังทำอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยในส่วนของเงินเดือน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ

"MINT" อ่วมโควิด  Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนของไมเนอร์ ฟู้ด ได้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มดีขึ้น

โดยประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดในครั้งนี้ และร้านอาหารส่วนใหญ่ได้ปิดให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์ 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ได้เริ่มกลับมาเปิดสาขาในเดือนมีนาคม ยอดขายของของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่บริษัทเคยได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

"MINT" อ่วมโควิด  Q1 ขาดทุน 1.7พันล้าน ทั้งนี้ในเดือนเมษายน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนได้กลับมามีผลกำไรจากการดำเนินงานของร้านอาหาร ซึ่งเร็วกว่าที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้เดิมถึงสองเดือน 

จากแนวโน้มทางธุรกิจ ณ ขณะนี้ ไมเนอร์ ฟู้ดจะสามารถกลับสู่ระดับเดิมก่อนมีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ภายในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการฟื้นตัวที่รวดเร็วและแข็งแกร่ง

 นอกจากนี้ โรงแรมในประเทศจีน 2 แห่งและในประเทศเวียดนามอีก 5 แห่ง ได้ประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการอีกครั้งหนึ่ง

MINT มีการเตรียมพร้อมเพื่อการกลับมาดำเนินธุรกิจตามวิถีชีวิตแบบใหม่ (“New Normal”) โรงแรมแต่ละโรงจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยคำนึงถึงการผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศควบคู่ไปกับความต้องการของนักท่องเที่ยว

 แบรนด์ต่างๆ ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อคาดการณ์และดำเนินการยกระดับมาตรฐานด้านความสะอาดและสุขอนามัย ซึ่งรวมถึงโปรแกรม “Stay with Peace of Mind” ของอนันตรา และโปรแกรม “Feel Safe at NH” ของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป 

สำหรับไมเนอร์ ฟู้ด ร้านอาหารสำหรับการให้บริการนั่งทานในร้านที่คาดว่าจะมีกำไรเชิงเงินสดจะกลับมาเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยจะปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ตามแนวทางการเว้นระยะห่างจากสังคม การทำความสะอาดร้านอาหาร และการริเริ่มบริการส่งอาหารแบบเว้นระยะห่างไม่มีการสัมผัสโดยตรง (Zero-Touch Delivery) เป็นต้น

 ณ ปัจจุบัน เครือข่ายพนักงานส่งอาหารจำนวนมากกว่า 3,000 คนของไมเนอร์ ฟู้ดกำลังทำหน้าที่ในการส่งอาหารจากร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เบอร์เกอร์ คิง บอนชอน และอื่นๆ ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์บอนชอน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทได้เข้าซื้อ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

จากความรุนแรงของการแพร่ระบาดที่ลดลง บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดย MINT มีความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทายในครั้งนี้ไปได้และกลายเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 ต่อจากนี้ อุตสาหกรรมโรงแรม ร้านอาหาร และการค้าปลีกทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยบทเรียนในครั้งนี้ และ MINT จะเป็นผู้นำในการช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความว่องไว และความทุ่มเทของผู้บริหารและพนักงาน จะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยผลักดัน MINT ให้ก้าวผ่านสถานการณ์โรคระบาด และผลักดัน MINT ไปสู่ความสำเร็จต่อไปในอนาคต