การที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงในช่วงสองวันมานี้ (13 -14 พ.ค.) นอกจากจะเป็นเพราะถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงสูงว่าจะเป็นช่วงขาลง ผนวกกับข้อมูลของกระทรวงแรงงานที่เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์แล้ว ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ “นักลงทุนรายใหญ่” อย่างน้อย 2 รายออกมาตั้งคำถามถึงภาวะฟองสบู่ในตลาด พวกเขาระบุว่า “ตลาดหุ้นเวลานี้มีมูลค่าสูงเกินจริง” ในเวลาไล่เลี่ยกัน
สภาวะตลาดหุ้นถึงกับทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาทวีตเตือนว่า นักลงทุนประเภท “มหาเศรษฐี” บางคนกำลังปั่นหุ้น ด้วยการกล่าวแสดงความเห็นที่ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกหวังเก็งกำไรครั้งใหญ่ แม้ไม่มีการเอ่ยชื่อว่า “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นคือใคร แต่เชื่อว่าความเคลื่อนไหวของทรัมป์นอกจากเป็นการเตือนนักลงทุนแล้ว ยังส่งสัญญาณเตือนบรรดาขาใหญ่ให้เพลา ๆ ปากอีกด้วย
13 พ.ค. ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีท ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. หลังจากที่ประธานเฟดออกมาให้ความเห็นข้างต้น ตอกย้ำซ้ำให้เซหนักขึ้นด้วยความเห็นของนักลงทุนขาใหญ่ในตลาดอย่าง นายเดวิด เทปเปอร์ ที่ให้สัมภาษณ์รายการข่าวของซีเอ็นบีซีว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ณ ช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่ “โหดมาก” ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าบรรดาธนาคารมีแนวโน้มหั่นเงินปันผลลงมา
นายเดวิด เทปเปอร์ เป็นนักลงทุนประเภทมหาเศรษฐีหมื่นล้าน(ดอลล์) เจ้าของสโมสรอเมริกันฟุตบอล “แคโรไลนา แพนเธอร์ส” และผู้ก่อตั้งบริษัทแอปปาลูซา แมเนจเมนท์ (Appaloosa Management) ที่บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์มูลค่ากว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.18 แสนล้านบาท) เขากล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ทั้งนี้ ค่า Forward P/E ratio อิงตามการประเมินสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้นเหนือระดับ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2002
"ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินจริงมากเป็นอันดับสองเท่าที่ผมเคยเห็นมา ซึ่งเป็นรองเพียงในปี 1999 ซึ่งเป็นยุคที่เกิดฟองสบู่ดอตคอม โดยตลาดมีมูลค่าสูงมาก ขณะที่เฟดได้อัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าตลาด" เทปเปอร์ให้สัมภาษณ์รายการ Halftime Report สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา “ตลาดยังมีสภาพคล่องสูงมาก ตราบเท่าที่เฟดยังพร้อมอัดฉีดเงินเข้ามา” แต่เขายังค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสัดส่วนของอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน ซึ่งแตกต่างไปจากความเห็นของเขาเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมหลังจากตลาดหุ้นดีดตัวขึ้น ในตอนนั้นเทปเปอร์ระบุว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โรงพยาบาล และบริการด้านสุขภาพนั้นน่าสนใจ แต่ตอนนี้มูลค่าหุ้นในตลาดนั้นสูงเกินไปในภาพรวม และหุ้นบางตัวในดัชนีแนสแดค (Nasdaq) ก็สูงเวอร์ เทปเปอร์ยังให้ความเห็นทุบหุ้นกลุ่มธนาคารและสายการบินว่าเป็นกลุ่มที่ยากจะลงทุนในช่วงเวลานี้
อ่านเพิ่มเติม ดาวโจนส์ปิดร่วง 516 จุด หลัง"พาวเวลล์"เตือนศก.สหรัฐเสี่ยงเผชิญช่วงขาลง
ความเห็นของเทปเปอร์สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับ นายสแตนลีย์ ดรักเค็นมิลเลอร์ ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ Duquesne Capital Management มหาเศรษฐีระดับ 4,600 ล้านดอลลาร์จากการจัดอันดับของฟอร์บส์ในปีที่ผ่านมา ดรักเค็นมิลเลอร์เป็นอดีตหัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ “พ่อมดการเงิน” นายจอร์จ โซรอส เขาออกมาแสดงความเห็นต่อสมาชิกของ Economic Club of New York เมื่อวันอังคาร (12 พ.ค.) ว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นมีมูลค่าเกินความเป็นจริงมากเป็นประวัติการณ์ และอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนก็ดูจะย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
“ไพ่ใบสำคัญก็คือ เฟดสามารถเข้ามาซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลา” ดรักเค็นมิลเลอร์มองว่า ปัญหาก็คือนักลงทุนยังเชื่อมากเกินไปว่ามีเฟดหนุนหลัง แต่เขากลับมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่รัฐบาลนำออกมาใช้ ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
“โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นแค่การผสมผสานกันระหว่างการจ่ายเงินโดยตรงให้กับประชาชน และดูจะเป็นการจ่ายให้พวกเขาไม่ทำงานมากกว่าจะจ่ายเพื่อให้พวกเขาทำงาน และนอกเหนือไปกว่านั้นก็คือ มีการจ่ายเงินจำนวนมากให้กับบริษัทซอมบี้ ที่ความจริงควรจะตายไปได้แล้ว แต่รัฐก็ยังพยายามช่วยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
ดรักเค็นมิลเลอร์เชื่อว่า สภาพคล่องในตลาดที่ถูกอัดฉีดเข้ามา กำลังจะเหือดแห้งในเร็วๆ นี้ เขามองว่าความเสี่ยงในการถือครองหุ้น ณ เวลานี้สูงกว่าผลตอบแทนที่น่าจะได้ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ก่อนหน้านี้ เขาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การล้มละลายในแวดวงธุรกิจของสหรัฐฯกำลังตั้งเค้าให้เห็น และเขาก็หวังอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เขาคิดไว้จะไม่เป็นจริง นั่นก็คือเขาคิดว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายในลักษณะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นกราฟรูปตัววี (V) นั้นเป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” หรือ แฟนตาซีล้วน ๆ
ดรักเค็นมิลเลอร์ยังมองว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปต่อข่าวความคืบหน้าของการผลิตยาเรมเดซิเวียร์ ( remdesivir) ซึ่งเป็นยาแอนตี้ไวรัสของบริษัท กิเลียด ไซเอินซ์ (Gilead Sciences) ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
อ่านเพิ่มเติม ขุนคลังสหรัฐออกโรง หลังปธ.เฟดแถลงฉุดตลาดหุ้นดิ่งหนัก
ความคิดเห็นของนักลงทุนขาใหญ่ทั้งสองคนนี้มีขึ้นท่ามกลางบริบทที่บรรดาผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลายเริ่มวิตกว่า มาตรการของเฟด รวมทั้งแพ็คเกจเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ที่กระทรวงการคลังอัดฉีดเข้ามา อาจจะไม่เพียงพอที่จะต้านทานผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังไม่มีแววคลี่คลาย ซ้ำยังทำให้อัตราการว่างงานพุ่งทะยาน และแนวโน้มธุรกิจล้มละลายก็มีมาเป็นระลอก ๆ สภาพของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันนี้จึงแตกต่างไปจากเมื่อเดือนมี.ค.ที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดีดตัวขึ้นถึง 26% เฉพาะสัปดาห์นี้ ดัชนีดังกล่าวร่วงลงมาแล้ว 3.8% แม้แต่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดยังยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่การตกงานและธุรกิจล้มละลายจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง และรัฐบาลคงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สถานการณ์แบบนี้ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังจะเข้าสู่สนามการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้เพื่อรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีเอาไว้ ถึงกับเต้น เพราะภาพของชัยชนะบนพื้นฐานของเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรงก่อนหน้านี้ได้ถูกไวรัสโควิด-19 เข้ามาปั่นป่วนจนเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. เขาออกโรงเตือนบรรดานักลงทุนว่าให้ระวัง “พวกเศรษฐี” จะใช้ลิ้นปั่นหุ้นทำกำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง “นักลงทุนประเภทมหาเศรษฐีบางคนกำลังปั่นหุ้น ด้วยการกล่าวแสดงความเห็นที่ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก”
"เมื่อคนรวยพูดถึงข่าวร้ายในตลาด คุณต้องรู้ว่าพวกเขากำลังเก็งกำไรครั้งใหญ่เพื่อหวังทำเงินจำนวนมากหากหุ้นตก และต่อมาพวกเขาจะพูดถึงเรื่องดีเพื่อดันราคาหุ้นขึ้น พวกเขาทำเงินได้ทั้งสองทาง นี่เป็นเรื่องถูกกฎหมายหรือไม่" ข้อความในทวิตเตอร์ของทรัมป์ระบุ
แม้เขาจะไม่ได้เจาะจงว่า “พวกเศรษฐีนักลงทุน” ดังกล่าวคือใคร แต่การส่งทวิตเตอร์ของทรัมป์ก็มีขึ้นหลังจากที่ ดรักเค็นมิลเลอร์และเทปเปอร์ ออกมาแสดงความคิดเห็นและส่งผลกดดันตลาดหุ้นสองวันติดกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง